ดังได้สดับมา : ความคิด ความเชื่อ ว่าด้วย ที่มา “โอปปาติกะ” เป็นเรื่อง ความคิด

เมื่อตีความว่า “วัฏฏสงสาร” เป็นเรื่องของความคิด เป็นเรื่องทางจิต ที่เริ่มจาก “อวิชชา” กระทั่งเกิดเป็นภพ ชาติ ชรา มรณะ

พลันที่ประสบเข้ากับคำถาม

“เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า อธิบาย “โอปปาติกะ” ว่าเป็นเพียงการเกิดทางใจเท่านั้น เป็นการอธิบายตามความรู้ความชอบใจของตัวเองอย่างน่าสังเวช เป็นการอธิบายบิดเบือนไปจากความจริง

“คือไม่อธิบายว่า “โอปปาติกะ” เป็นสัตว์ที่มีทั้งรูปและนาม มีทั้งกายและใจ

“มีกายเป็นปรมาณู โปร่งแสง ที่เรียกว่ากายทิพย์ นี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ”

ก็ร้อนแรง

เป็นความร้อนแรงในท่วงทำนองแบบพุทธทาสภิกขุ ไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไป นั่นก็คือ อธิบายอย่างเยือกเย็น สุขุม

แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด

ขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง ด้วยท่วงทำนองการอธิบายและตีความเช่นนี้ก็ทะลวงเข้าไปในความเชื่อโดยทั่วไปอย่างรุนแรง

มิได้เป็นเรื่องในทาง “รูปธรรม” หากแต่เป็นเรื่องในทาง “นามธรรม”

เพียงแต่เมื่อ “นามธรรม” นี้ไปสอดสวมอยู่กับคนใด การสำแดงออกโดยคนนั้นต่างหากคือ “รูปธรรม”

จำเป็นต้องอ่าน

การอธิบาย “โอปปาติกะ” เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีทั้งรูปและนาม มีกายเป็นปรมาณูโปร่งแสงที่เรียกว่ากายทิพย์

นี้เป็นคำอธิบายของพวกอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนา

เรื่องกายทิพย์ เรื่องอะไรทิพย์ๆ อย่างนี้ เป็นเรื่องของพวกอื่น รายละเอียดที่เป็นหลักฐานไปอ่านดูได้จาก “โปฏปาทสูตร ทีฆนิกาย”

คำว่า “โอปปาติกะ” ตามความหมายในพุทธศาสนานั้นหมายถึงกิริยาอาการแห่งการเกิด (โยนิ) อย่างหนึ่งเท่านั้น คือการเกิดขึ้นมาโดยไม่ต้องมีพ่อแม่ และเกิดขึ้นมาโตเต็มที่ สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องเป็นเด็ก

การเกิดชนิดนี้มีได้อย่างไร

มันก็คือ ความคิดเกิดขึ้นอย่างไร คนนั้นก็เป็นอย่างนั้น เช่นว่า มีความคิดอย่างเลวเป็นความคิดอย่างโจรเกิดขึ้น คนนั้นในร่างกายนั้นมันก็กลายเป็นโจรกะทันหันขึ้นมาโดยไม่ต้องเข้าท้องมารดาและไม่ต้องเป็นเด็ก

คือ เป็นโจรเต็มที่โดยไม่ต้องเป็นเด็กมาก่อน

กิริยาอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยบิดามารดา เกิดขึ้นโตเต็มที่ เสียดายที่ว่าในคำพูดนั้นมันไม่มีระบุว่า ไม่เป็นหญิงไม่เป็นชายด้วย นั่นแหละคือ “โอปปาติกะ” เป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้น ไม่ใช่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง

ที่เอาคำว่า “โอปปาติกะ” ไปเป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่งนั้นไม่มี ไม่ถูกต้องตามคำสอนในหลักพระพุทธศาสนา เพราะคำว่า “โอปปาติกะ” นั้นไม่ได้เป็นชื่อของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นชื่อของกิริยาอาการที่เกิดผลุงขึ้นมาโดยไม่ต้องอาศัยบิดามารดา และไม่ต้องมีการเติบโต คือ มันโตเต็มที่เสียเลย

เช่น เราเกิดเป็นคนดีก็ดีเต็มที่เสียเลย เกิดเป็นคนชั่วก็เป็นคนชั่วเลว ไม่ต้องเป็นเด็กมาก่อน

นี่คำว่า “โอปปาติกะ” ตามความรู้ของอาตมา ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์ที่ร่างกายโปร่งแสงเป็นกายทิพย์ ไม่ใช่

มันเป็นชื่อของกิริยาอาการที่มีการเกิดผลุงขึ้นมาและโตเต็มที่โดยไม่ต้องมีบิดามารดา

ก็คือการเกิดทางจิต โดยจิต ปัจจุบันจิต มันเกิดเลวขึ้นมาเป็นสภาพอย่างโจรหรือสัตว์นรก หรือว่าดีอย่างบัณฑิตหรือเทวดา หรือแม้ว่าเกิดเป็นพระอริยเจ้า อนาคามี ก็โดยการกำเนิดอันนี้เหมือนกัน การตรัสรู้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้ามันก็คือการเกิดผลุงขึ้นมาโดยแบบของ “โอปปาติกะ” ไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องเป็นเด็กก่อน

ฉะนั้น ระวังให้ดีนะ คิดอย่างสุนัขจะเกิดเป็นสุนัข นั่งอยู่ที่นี่ในร่างนี้ถ้าคิดอย่างหมาจะเกิดเป็นหมา คิดอย่างคนจะเกิดเป็นคน คิดอย่างเทวดาจะเกิดเป็นเทวดา คิดอย่างสัตว์นรกจะเกิดเป็นสัตว์นรก

ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ในร่างกายอย่างนี้

อาการชนิดนี้เรียกว่า “โอปปาติกะ” เป็นการเกิดผลุงขึ้นมา คำนี้ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์ ถ้าเขาจะถือว่าเป็นชื่อของสัตว์เขาก็มีสิทธิ์ที่จะถือได้

เราไม่ไปทะเลาะกับเขา เราถืออย่างนี้สำหรับคำคำนี้

ท่วงทำนองของพุทธทาสภิกขุ คือ ไม่ทะเลาะในลักษณะ “เบาะแว้ง” หากแต่อธิบายด้วยความอดทนอย่างเต็มสติปัญญา

หากเห็นด้วยก็น่ายินดี

หากไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร สามารถปล่อยให้ผ่านเลยไปได้เพราะว่าเป็นความเชื่อ ความฝังใจอย่างนั้น

น่าสนใจก็ตรงที่ข้อถกเถียงนี้เสนอมาโดย พ.ต.ต.อนันต์ เสนาขันธ์