ประชาสัมพันธ์เลือด / โลกทรรศน์ อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

โลกทรรศน์

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

 

ประชาสัมพันธ์เลือด

 

จะด้วยมองเห็นหรือวัดจากอะไร สภาบริหารรัฐของทหารเมียนมา มีปัญหาภาพพจน์ รัฐบาลก็ตั้งขึ้นโดยรัฐประหาร ยิงผู้ประท้วงตายจำนวนมาก จับคนประท้วงทั้งนักเคลื่อนไหวและนักการเมืองขังกว่า 2 หมื่นคน ปิดสื่อมวลชนและถูกวิจารณ์ทั่วโลก เลยต้องประชาสัมพันธ์หน่อย

เรามาดูว่า เขาประชาสัมพันธ์อะไรและอย่างไร?

ไม่ต้องแปลกใจ ผู้นำทหารเมียนมาจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์มานานแล้ว ข้อมูลนี้มาจากงานเขียนของ Bertin Lintner* ผู้รู้เรื่องเมียนมารอบด้านและลุ่มลึก

คราวนี้ Bertin ให้ข้อมูลว่ารัฐบาลทหารเมียนมาว่าจ้างบริษัท Dicken & Madson ที่นำโดยล็อบบี้ยิสต์เชื้อสายอิสราเอล-แคนาเดียน นาย Ari Ben-Menashe เพื่อขัดเกลาประวัติของผู้ทำรัฐประหารและเร่ขายการรัฐประหารของพวกเขาต่อโลกภายนอก

แต่ตามข้อมูลประวัติศาสตร์ของทหารเมียนมาชี้ให้เห็นว่า ความพยายามโปรโมตตัวเองของระบอบการเมือง จะตกต่ำและไม่ได้รับการยอมรับในโลกตะวันตก

และยิ่งกว่านั้น ชาติของทหารเมียนมาเองกลับมีสถานะตกต่ำ

บริษัท Dicken & Madson เพิ่งเซ็นสัญญามูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐกับผู้นำทหารเมียนมา มีข้อตกลงว่า ให้โปรโมตสถานการณ์จริงในประเทศ และสื่อสารกับสหรัฐอเมริกาและชาติอื่นๆ ที่เข้าใจพวกเขาผิด

รายงานการเซ็นสัญญานี้ข้อมูลมาจากแฟ้มเอกสารของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ

ผู้นำทหารเมียนมามีแบบแผนมายาวนาน จ้างบริษัทพีอาร์ระดับโลก และใช้ช่องทางล็อบบี้ยิสต์เพื่อจัดทำเอกสารเกี่ยวกับความโหดร้าย และขายออกไปให้นุ่มนวลขึ้น

ภาพที่ดูเมตตาขึ้นของผู้นำป่าเถื่อน แต่มีน้อยมากที่ความพยายามของพวกเขาเปลี่ยนทัศนะของสหรัฐและชาติตะวันตกหันมานิยมเมียนมาได้

หลังสังหารหมู่ปี 1988 พวกนายพลก็ใช้บริการบริษัทล็อบบี้ยิสต์สัญชาติอเมริกันเป็นตัวแทนให้ผู้นำเผด็จการนานหลายปีที่ผู้นำทหารเมียนมาว่าจ้าง ใช้บริการบริษัทที่ได้รับการยอมรับนิดหน่อย บริษัทพีอาร์อเมริกันชื่อ Jefferson Waterman International, Bain and Association และ DCI Group

แต่ก็ไม่มีบริษัทพีอาร์ไหนเลย สามารถโน้มน้าวผู้ตัดสินนโยบายและฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐและยุโรป ให้ถอนการแซงก์ชั่นลงโทษเมียนมาได้

 

ประชาสัมพันธ์เลือดและโกหก

เราลองมาดู วิธีการประชาสัมพันธ์เผด็จการทหารเมียนมา พอรัฐประหาร 1 กุมภาพันธ์ปีนี้ บริษัท Ben-Menashe ซึ่งเคยมีมีความสำเร็จอยู่บ้าง ตอนนี้บริษัททำงานอย่างหนัก Ben Menashe กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า

“…การรัฐประหาร เพราะออง ซาน ซูจี และรัฐบาลพรรคสันนิบาติเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ ได้นำประเทศเข้าไปใกล้มากกับจีน…”

วิธีการนี้ บริษัทหวังให้คำอธิบายแบบนี้เพื่อโยงพวกนายพลเมียนมามีโอกาสเข้าไปประจบประแจงกับปีกนิยมจีนในรัฐบาลโจ ไบเดน ของสหรัฐ

Ben Menashe ยังดำเนินการติดต่อซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่ออำนวยการส่งกลับคืนถิ่นที่อยู่เดิมชาวโรฮิงญาเรือนล้านที่อยู่ในค่ายในบังกลาเทศ ซึ่งถูกกวาดล้างอย่างป่าเถื่อน ที่ผู้ตรวจสอบอิสระชี้ว่ามีลักษณะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

Ben Menashe เพิ่งอ้างกับสำนักข่าว Reuters โดยกล่าวว่า

“…ออง ซาน ซูจี ในฐานะผู้นำ เป็นหนึ่งที่กระทำต่อชาวโรฮิงญา ไม่ใช่ทหาร…”

ยิ่งกว่านั้น เขาและบริษัทของเขายินดีพิสูจน์การเลือกตั้งพฤศจิกายน 2020 ซึ่งพรรคสันนิบาติเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย มีการวางแผนล่อลวง จนเป็นเหตุให้ทหารทำรัฐประหาร การกระทำของบริษัทนี้เพื่อขายความซื่อตรงที่ไม่ได้ตรวจสอบ เพื่อให้การต่อสู้ของพวกเขาสูงส่งขึ้น

เรื่องเล่าด้านภูมิรัฐศาสตร์ของพวกนายพลก็นำมาขายด้วย

ในขณะที่ออง ซาน ซูจี หันเข้าหาจีน หลังจากชาติตะวันตกตื่นกลัววิกฤตโรฮิงญา ส่วนประกอบของรัฐบาลใหม่ของรัฐบาลทหาร ช่วยให้มองเห็นได้ว่า นายพลคาดหวังล่วงหน้ากับตะวันตกว่าจะใช้การแซงก์ชั่นพวกเขา พวกเขารู้ว่า สามารถโน้มน้าวแรงสนับสนุนจากจีนในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อสกัดการลงโทษพวกนายพลได้

เรื่องเล่ากลวงๆ มั่วๆ แบบนี้ยังผิดข้อเท็จจริงด้วยว่า คณะรัฐมนตรีใหม่ของนายพลหันเข้าหาตะวันตก อย่างน้อยรัฐมนตรีต่างประเทศ Wunna Muang Lwin รัฐมนตรีคนเดิมสมัยรัฐบาลเต่ง เส็ง ก็นิยมจีน ต่อต้านตะวันตก

ส่วนรัฐมนตรี Ko Ko Hlaing รัฐมนตรีด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) รัฐมนตรี Ko Ko Hlaing ยังมีผลงานแปลหนังสือ The Governance of China ของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง (Xi Jinping) อีกทั้งสนิทกับผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐมนตรีด้านกิจการต่างประเทศถึง 2 คนนิยมจีน

 

แล้วรัฐบาลใหม่มีใครเป็นผู้นิยมตะวันตกบ้าง

ประชาสัมพันธ์ความมั่นใจตัวเอง

นอกจากงานประชาสัมพันธ์จากล็อบบี้ยิสต์แล้ว รัฐบาลทหารยังประชาสัมพันธ์ตัวเอง และสร้างความอุ่นใจในวิถีผู้นำทหารเมียนมาอีกด้วย

ผู้นำทหารจัดงานฉลองวันกองทัพเมียนมาอีกครั้งหนึ่ง แม้การสวนสนามไม่ได้ยิ่งใหญ่ดังในอดีต แม้มีมิตรประเทศเพียงไม่กี่ประเทศส่งตัวแทนเข้าร่วมงานด้วย มีประเทศรัสเซียประหนึ่งประเทศพี่เบิ้มเข้าร่วมด้วย

แต่งานฉลองครั้งนี้อาจมองได้ว่า งานฉลองต้องการประชาสัมพันธ์ความมั่นใจตัวเองในเรื่องความเป็นเอกภาพของกองทัพ

พร้อมงานฉลองวันกองทัพเมียนมา มีงานฉลองความสำราญกันใหญ่ในหมู่ผู้นำทหารเมียนมาและแขกต่างชาติ

แต่ทหารเมียนมาได้สังหารและเข่นฆ่าคนเมียนมาในท้องถนนในเมืองต่างๆ 50 เมืองในวันเดียวกันกับวันกองทัพเมียนมานั่นเอง โดยไม่แคร์กับสายตาของผู้นำทหารต่างชาติที่มาเยือน ไม่สนใจการประณามจากรัฐมนตรีกลาโหมของนานาชาติที่วิจารณ์ทหารพร้อมอาวุธเข่นฆ่าประชาชน แทนที่จะปกป้องประชาชนคนชาติเดียวกัน

เพื่อความมั่นใจตัวเองมากขึ้น พล.อ.อาวุโสมิน ออง ลาย บินจากเมืองเนปิดอว์สู่เมืองท่าขี้เหล็ก เมืองเอกรัฐฉานของกะเหรี่ยง เพื่อทำความคารวะพระชั้นผู้ใหญ่ ผมเข้าใจว่า ความจริงแล้ว การเดินทางครั้งนี้เป็นความลับ แต่ในที่สุด ใครๆ ก็รู้ ผมเข้าใจว่า นี่เป็นความเชื่อของผู้นำทหารเมียนมาและเป็นความเชื่อของคนเมียนมาด้วย แต่ความเชื่อนี้มีเพียงคนเมียนมาบางส่วนที่เชื่อเรื่องของพระชั้นผู้ใหญ่ เพราะคนเมียนมาส่วนมากเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผมทราบ นายทหารเมียนมาที่ทำศึกสงครามหรือทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในอดีต ซึ่งทำเพื่อชาติมากกว่าทำเพื่อตัวเอง ท่านเหล่านั้นมักไปกราบไหว้เจดีย์ชเวดากองที่เมืองย่างกุ้ง

ตั้งแต่อดีตกาล แม่ทัพนายกองทำสงครามออกศึกเพื่อแผ่นดินของพวกเขา จะมานั่งสวดมนต์ขอพร สร้างบารมีให้กับตนซึ่งทำคุณงามความดี เอาชนะศัตรู

จนกระทั่งมีบางมุม บางพื้นที่ของเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นบริเวณของแม่ทัพของเมียนมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์เลย

ทำไมนักรบขั้นแม่ทัพอย่างนายพลอาวุโสมิน ออง ลาย ไม่เลือกไปสร้างความอุ่นใจที่เจดีย์ชเวดากอง การสร้างบารมีและทำคุณงามความดีจากพระผู้ใหญ่ที่เมืองท่าขี้เหล็ก เป็นบุญอันแผ่วเบากว่าที่เจดีย์ชเวดากองมากนัก หรือนี่ก็เป็นประชาสัมพันธ์กลวงอีกเช่นกัน

ใครเชื่อประชาสัมพันธ์เลือดและโกหกบ้าง?

*”Myanmar Junta pays dearly to sell its hated” Asia Times 14 March 2021.