ใครทำประเทศไทยโคม่า | คำ ผกา

คำ ผกา

สรุปการพบคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อโควิดระลอกใหม่ในประเทศไทยคือ

หนึ่ง เรือนจำนราธิวาสที่ไปร่วมกิจกรรมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สอง สถานบันเทิงย่านทองหล่อ-เอกมัย ในกรุงเทพฯ และคนที่ไปร่วมงานกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นผู้ซึ่งพบว่าติดเชื้อโควิด

สาม เชียงใหม่ ซึ่งสัมพันธ์กับกลุ่มสถานบันเทิง ทองหล่อ

สำหรับฉันการพบคลัสเตอร์ใหม่ครั้งนี้ ไม่มีอะไรที่เราพึงตื่นตระหนกจนเกินกว่าเหตุเลย เพราะกรณีคลัสเตอร์เรือนจำเป็น “พื้นที่ปิด” ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่เราต้องชื่นชมว่ามีการตรวจพบผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็ว และสามารถดำเนินมาตรการป้องกันได้ทันท่วงที

ส่วนสถานบันเทิงย่านทองหล่อ-เอกมัย และผู้ที่เดินทางไปเชียงใหม่นั้น ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากังวล เพราะเราอยู่กับโควิดเข้าสู่ปีที่สอง

มันไม่ใช่ new normal สำหรับเราอีกต่อไป

แถมมันยังกลายเป็น normal ไปแล้ว

ผู้คนมีความตระหนักอยู่แล้วว่า หากเราไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นคลัสเตอร์ สิ่งที่ต้องทำก็คือไปตรวจหาเชื้อโควิดเสียว่าติดหรือไม่ติด

หากพบว่าติดก็แค่กักตัว 14 วัน และหากไม่พบอาการอะไรก็ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรเสียด้วยซ้ำ

เคสที่จะติดเชื้อแสดงอาการรุนแรงอย่างกรณีผู้ว่าฯ สมุทรสาครนั้นน้อยมาก

ไม่ต้องพูดถึงเคสที่เสียชีวิตก็ยิ่งน้อยไปอีก และย้ำอีกครั้งว่า หากไม่มีโรคประจำตัวที่ร้ายแรง หรือแก่มากๆ โควิดก็ไม่ใช่โรคที่จะทำให้ตายได้

ย้ำกันอีกครั้ง – สิ่งที่เขากลัวเรื่องโควิดกันมีแค่เรื่องการติดที่ไม่แสดงอาการ ทำให้เกิดโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปอย่างกว้างขวางเกิดขึ้นง่าย และอาจกลายพันธุ์ หรือไปติดกลุ่มคนที่เปราะบางทางสุขภาพเป็นทุน

แต่โควิดไม่ใช่โรคห่าที่อยู่ๆ มีคนเป็นแล้วจะพากันติดๆๆ แล้วตายกันยกหมู่บ้าน อำเภอ

อีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่พึงจะตระหนกมากเกินไป คือเราพึงสังวรว่าบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณูปโภคทางการแพทย์ของไทยก็อยู่กับโควิดมาจน “รู้มือ”

ไม่เหมือนในช่วงแรกที่คนยังงงๆ ว่าต้องเตรียมอะไรสักแค่ไหนถึงจะไม่ขาดไม่เกิน

ตอนนี้วงการสาธารณสุขก็ประเมินได้แล้วว่า เกิดคลัสเตอร์ประมาณนี้ต้องทำอย่างไรบ้าง ไม่นับการตรวจหาเชื้อโควิด

และเราคนไทยทุกคนก็พึงรู้ว่า คลัสเตอร์ที่วิกฤตที่สุดของเราคือตลาดกุ้งที่สมุทรสาคร

และฉันกล้าพูดเลยว่า นี่คือประจักษ์พยานการทำงานที่หนักและเนี้ยบของบุคลากรทางสาธารณสุขไทย เพราะคลัสเตอร์สมุทรสาครนั้นได้รับการ “จัดการ” อย่างเรียบร้อยไร้ที่ติ

และความเรียบร้อยไร้ที่ตินี้น่าจะสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยเสียทีว่า สถานการณ์โควิดของประเทศไทยนั้นไม่ได้อยู่ในระดับโคม่าน่ากังวลใดๆ ทั้งสิ้น

แต่สิ่งที่โคม่าน่ากังวลของประเทศไทยคือการบริหารโควิดที่ไม่ได้แปลว่า “ควบคุมโรคโควิด”

แต่แปลว่าการบริหารประเทศท่ามกลางสถานการณ์โควิด โดยเน้นการป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เสรีภาพของประชาชนต่างหากเล่าที่สำคัญกว่าการ “ควบคุมโควิด” โดยไม่สัมพันธ์กับอะไรเลย

ซ้ำร้ายกว่านั้นสิ่งที่โคม่าที่สุดสำหรับสังคมไทยคือ ประยุทธ์และพวกฉวยโอกาสใช้สถานการณ์โควิดในการยึดอำนาจจากรัฐสภา ตั้งทั้ง ศบค.ชุดเล็ก ชุดใหญ่ ตามมาด้วยการตั้ง ศบษ. ตามมาด้วยการเอาหน่วยงานความมั่นคงอย่าง กอ.รมน. มาประกบ

แค่นั้นยังไม่พอ รัฐบาลนี้ยังฉวยโอกาสจากโควิดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต่างอะไรจากการที่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่าง abusive ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มายาวนาน

สิ่งที่โคม่าที่สุดสำหรับสังคมไทยคือ รัฐบาลนี้ฉวยใช้โควิดมา abuse อำนาจของประชาชน ลดทอนอำนาจของรัฐสภา รวบอำนาจไปไว้ที่ประยุทธ์ผู้ขึ้นมาเป็นนายกฯ ด้วยการทำรัฐประหารและอยู่ในอำนาจต่อด้วยรัฐธรรมนูญที่ตัวเองอำนวยการเขียน และ ส.ว.ที่ตนเองแต่งตั้งมากับมือ

ทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรค พ.ร.บ.ความสะอาดกลายเป็นเครื่องมือที่เอาไว้จับประชาชนที่ไปประท้วงไล่รัฐบาลเข้าคุก เสียค่าปรับ ปล้นเงินประกันของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่โคม่าที่สุดคือการรับมือกับโควิดของรัฐบาล – ที่สืบทอดมรดกอำนาจมาจากการรัฐประหารปล้นอำนาจประชาชน – คือการบริหารเศรษฐกิจท่ามกลางสถานการณ์โควิด

พูดให้ชัดกว่านั้นคือ ขนาดไม่มีโควิดก็บริหารเศรษฐกิจกันมาจนประเทศชาติเละตุ้มเป๊ะ

เมื่อมาเจอโควิด รัฐบาลประยุทธ์แทนที่จะคิดเรื่องการพยุงประเทศให้รอดทางเศรษฐกิจ กลับเลือกที่จะใช้โควิดเป็นแบ๊กดร็อปหรือฉากหลังชูตัวเองให้โดดเด่นว่า ฉันคือผู้นำที่กล้าใช้ “ยาแรง” เพื่อรับมือกับโควิด โดยการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศอย่างไม่มีเหตุผลใดๆ ในเชิงระบาดวิทยาที่ฟังขึ้นเลย

เพราะมีหลายสิบจังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิดเลย แต่กลับต้องมาปิดเมือง พลอยได้รับผลประทบทางเศรษฐกิจไปอย่างไม่จำเป็น

เมื่อโควิดระบาดทั่วโลก การเดินทางทางอากาศเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ถ้าเรามีรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ หลังจากที่มีนวัตกรรมเกี่ยวกับ rapid test ของโควิด แทนที่เราจะใช้ความได้เปรียบจาก “การค้าชายแดน” อันรวมไปถึงการท่องเที่ยวข้ามแดนผ่านชายแดน ภายใต้มาตรการควบคุมโควิดที่มีมาตรฐาน มีประสิทธิภาพ

อย่างน้อยจังหวัดอย่างเชียงใหม่ เชียงราย แม่สอด ตาก หรือชายแดนที่ติดกับลาว เวียดนาม กัมพูชา แม้ไม่มีการท่องเที่ยวแต่การค้าชายแดนมีมูลค่ามหาศาล

แทนที่เราจะได้ไฮไลต์จุดแข็งของประเทศไทยที่มีผู้ติดเชื้อน้อยอันดับต้นๆ ของโลก มีมาตรการกักตัว และการตรวจหาเชื้อโควิดที่รวดเร็ว แม่นยำ มีระบบการติดตามตัวผู้คนเพื่อการติดตามโรค (ไม่ใช่เพื่อตามจับคนต่อต้านรัฐบาล) เพียงเท่านี้ ทั้งการค้าชายแดน การท่องเที่ยวชายแดน กิจกรรมสันทนาการที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจจะเข้ามามีบทบาทในการ “อุ้ม” จีดีพีของประเทศได้ไม่มากก็น้อย

และเมื่อสถานการณ์โควิดของโลกเริ่มคลี่คลาย ก็สามารถต่อยอดเปิดการท่องเที่ยวเชิง quarantine แบบ luxury ต่อได้ในพื้นที่เป็นเกาะ อันเป็นพื้นที่ปิด สามารถทำมาตรการควบคุมและติดตามโรคได้ง่าย ซึ่งทางเลือกในการเดินทางอาจเป็นเรือสำราญ หรือเครื่องบินเช่าเหมาลำ

แต่ความโคม่าของรัฐบาลประยุทธ์คือไม่ได้ทำหรือแม้แต่คิดจะทำให้มิติดังกล่าว

แถมยังซ้ำเติมประชาชนด้วยมาตรการปิดเมืองอันยาวนาน ส่งผลกระทบต่อชีวิตทางเศรษฐกิจของผู้คนไปทุกหย่อมหญ้า

โดยเฉพาะคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการตั้งแต่เจ้าของโรงแรมขนาดเล็ก พนักงานโรงแรม คนนวด คนเสิร์ฟอาหาร เชฟ คนในครัว ไกด์ คนขับรถตู้ คนขับรถท่องเที่ยวอของบริษัททัวร์ นักดนตรี ธุรกิจผับ บาร์ ร้านอาหาร

และผู้คนที่เกี่ยวกันกับลูกโซ่ทางเศรษฐกิจนี้ทั้งหมด – ย่อยยับ

ความโคม่าไม่หยุดเพียงเท่านั้น ความโคม่ามันดำเนินต่อไปที่มาตรการชดเชยเยียวยาที่เน้นการแจกเงินกะปริดกะปรอย สะเปะสะปะ เน้นการทำแอพพลิเคชั่นบ้าๆ บอๆ ออกมาเยอะแยะไปหมด

สุดท้ายเป็นการใช้เงินเป็นเบี้ยหัวแตก

พูดอย่างหยาบที่สุดคือ ทำงานเหมือนคนหัวล้านได้หวี เหมือนไก่ได้พลอย เหมือนลิงศาลเจ้าลพบุรีได้มาเป็นนายกฯ

หลักการของมาตรการชดเชยเยียวยานั้นไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

ก. มาตรการ แจกเงินถ้วนหน้าในกรอบเวลาที่กำหนด เพื่อการเยียวยาระยะสั้น และกระตุ้นการบริโภคภายใน วิธีการแจก แจกผ่านเช็คธนาคารส่งทางไปรษณีย์ถึงประชาชนทุกคนทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย ไม่ต้องผ่านระบบคัดกรองใครรวยใครจน คนรวยร้อยล้านได้ไปจะเอาเช็คไปฉีกทิ้งก็เรื่องของเขา จะถ่ายโอนเงินนี้เป็นเงินบริจาคองค์กรการกุศลก็เรื่องของเขา

ข. มาตรการซอฟต์โลนเพื่อรักษาชีวิตของผู้ประกอบการรายย่อย และขนาดกลาง บนเงื่อนไขไม่ให้เขาปลดพนักงาน เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว คือ รักษาอุตสาหกรรม และปกป้องผู้คนไม่ให้กลายเป็นคนตกงาน ซึ่งหากเขาตกงาน ท้ายที่สุดก็วนกลับมาเป็นภาระของรัฐอยู่ดี และเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาสังคมทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเด็กจะขาดโอกาสในการศึกษา ปัญหาอาชญากรรม การป้องกันปัญหาวิกฤตสุขภาพจิตของพลเมือง อันจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต และหากปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ในที่สุดมันก็คือภาระงานของรัฐบาลในวันข้างหน้าอยู่ดี สู้ป้องกันไม่ให้กันเกิดจะดีกว่า

ค. วางแผนการลงทุนจากภาครัฐเพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศในอนาคต และเพื่อใช้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนี้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชดเชยรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไปถึงร้อยละ 12 ของจีดีพี

และในระหว่างโควิดปิดประเทศ ทำอะไรไม่ค่อยได้นี้ ยังมีงานที่รอให้รัฐบาลมาสะสางอีกเยอะ เช่น การปฏิรูปการศึกษา การสะสางเรื่องการใช้พืชอย่างกัญชาและกระท่อมกลายมาเป็นพืชเศรษฐกิจ

การดูแลเกษตรกร แทนที่จะคิดได้ว่า เออ ช่วงนี้ส่งออกอะไรไม่ได้ เราฉวยโอกาสทำกองทุนพลิกฟื้นดินให้เกษตรกร เป็นโครงการเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย ให้เกษตรกรหยุดเพาะปลูกสามปี และใช้เงินกับเวลาที่มีอยู่ ปรับการทำเกษตรของตนเองไปสู่การทำเกษตรปลอดภัย ลดการใช้สารเคมี และวางแผนเลือกพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่เหมาะสมกับบริบทของพวกเขา

ซึ่งถ้าทำก็ได้ประโยชน์หลายอย่าง เป็นการใช้เงินกู้ของรัฐบาลที่คุ้มค่า เป็นโอกาสในการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรกร 1.0 เป็นเกษตรกร 4.0 และได้กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไปในตัว

สุดท้ายสิ่งที่รัฐบาลที่มีสติปัญญา สัมปชัญญะต้องทำคือ การจัดหาวัคซีนที่รวดเร็ว แม่นยำ หลากหลายยี่ห้อ เพื่อสร้างโอกาสการต่อรอง และเพื่อกลับมาเปิดประเทศให้เป็นปกติอย่างเร็วที่สุด

ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียใจว่ามันไม่เกิดขึ้น และคงจะไม่มีวันเกิดขึ้น

นอกจากจะไม่ทำในทั้งหมดที่ว่ามาแล้ว สิ่งที่ชวนให้สิ้นหวังกับสติปัญญาของประยุทธ์และพวกคือ เมื่อพบคลัสเตอร์ล่าสุด สิ่งแรกที่ประยุทธ์ทำคือ เที่ยวโกรธ ตวาด ด่าทอ ฟาดงวงฟาดงาใส่ประชาชนว่าไม่รู้จักดูแลตัวเอง ก่อปัญหา

ทำท่าเหมือนอีพ่อเผด็จการที่หัวเสียเมื่อรู้ว่าลูกไปเที่ยวกลางคืน – ก่นจิก – ที่ฉันต้องอยู่กับนายกฯ ที่มีทัศนคติล้าหลังบ้านนอกคอกตื้อ สติปัญญาทึบถึงขนาดนี้เลยหรือ

นายกฯ โง่ก็เรื่องหนึ่ง แต่นายกฯ ที่มีทัศนคติเห็นประชาชนเป็นทหารรับใช้ในบ้านนี่มันสุดจะทน และคนไทยทั้งหลายควรจะต้องหาอะไรไปแปะหน้าผากประยุทธ์ได้แล้ว

ประยุทธ์นั้นไซร้คือคนไทยคนหนึ่ง เป็นประชาชนเหมือนคนอื่นๆ และควรจะตระหนักว่าที่ได้เป็นนายกฯ นั้นไม่ใช่เพราะประชาชนส่วนใหญ่เขาเลือกให้เป็น เป็นนายกฯ อยู่ได้เพราะทำการรัฐประหารมา – มาแล้วก็นั่งโง่นอนโง่บนภาษีประชาชนแล้วยังจะมาก้าวร้าวดูถูกประชาชนทุกวันๆ ให้เป็นที่อับอายของครอบครัว ลูก-เมีย

ใครไม่รู้ เขาจะว่าลูกเต้าไม่สั่งสอน

และสิ่งนี้คือสิ่งที่โคม่าที่สุดของประเทศไทยคือเรามีนายกฯ ไม่เคยรู้ว่าหน้าที่ของนายกฯ คืออะไร และไม่เคยรู้สำนึกว่าทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้านที่ซุกหัวนอนตัวเองนั้นเงินภาษีประชาชนล้วนๆ

พูดอย่างคนโบราณเขาว่าเนรคุณ