ฟ้า พูลวรลักษณ์ | มนุษย์เรา อยู่ท่ามกลาง ความไม่เอาไหน กระอักกระอ่วน ทุกข์ระทม และขมขื่น

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๘๘)

 

สมมุติในโลกนี้ คนเก่ง คนฉลาด รวมตัวกันแล้วแยกตัวออกไปตั้งรัฐใหม่ อาจเป็นรัฐเล็กๆ ที่ไหนก็ได้ จะเกิดอะไรขึ้นนะ

สมมุติ คนเก่ง คนฉลาดเหล่านี้มีจำนวนหนึ่งหมื่นคน หรือสองหมื่นคน

ในทางปฏิบัติ จะทำไม่ได้แน่ ด้วยเพราะโลกของเรานี้รวมเป็นหนึ่ง ไม่อาจแบ่งแยกออกมาง่ายๆ คนหยิบมือเหล่านั้นจะทำอะไรได้ จะหนีไปไหน

ต่อให้อยู่บนเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง แต่ปัญหาทั้งหมดของโลก ก็ยังลงไปที่นั้นอยู่ดี เช่น สภาวะโลกร้อน คุณหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะไปอยู่ทวีปไหน

ที่พอทำได้คือหนีไปดวงจันทร์ หรือดาวเคราะห์ดวงอื่น

แต่แม้ว่าทำเช่นนั้นจริง ในช่วงแรก กลุ่มคนดังกล่าวอาจเป็นคนแบบที่พวกเขาต้องการ คือคนเก่ง คนมีความสามารถ เพราะเลือกมาจากคนกลุ่มใหญ่ นับร้อยล้านพันล้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ช้าก็จะเกิดคนร้อยกลุ่มพันกลุ่ม กลุ่มคนเหล่านี้ต่างหากคือมนุษย์

ร้อยกลุ่มพันกลุ่มเหล่านี้ คือลูกหลานของพวกเขานั่นเอง

 

คนเหล่านี้

๑ คนไม่เอาไหน

๒ คนขี้เกียจ

๓ เด็กที่ถูกตามใจจนเสียคน

๔ คนรักร่วมเพศ

๕ กะเทย

๖ คนหลงในจิตวิญญาณ

๗ คนสนใจในดวงชะตา

๘ ผีการพนัน

๙ คนติดเกม

๑๐ คนติดเหล้า

และอื่นๆ อีกมากมาย นับร้อยกลุ่ม นับพันกลุ่ม

คนเหล่านี้ หากคิดแยกแต่ละกลุ่ม ก็เป็นสิ่งไม่ดี หรือไม่น่าดี แต่หากรวมพวกเขาทั้งหมด มันคือมนุษยชาติ เพราะมนุษย์แท้จริงแล้ว จะมีจุดอ่อน จะต้องมีข้อเสีย คนที่ฉันรู้จักมาเกือบทุกคน ล้วนมีจุดอ่อน แทบจะนึกคนเก่ง คนดีสมบูรณ์ที่ว่าไม่ได้เลย

คนดี คนเก่ง คนฉลาด อัจฉริยะเหล่านั้น หากจะสกรีนออกให้เหลือแต่ข้อดี จะแทบหาไม่ได้เลย ต่อให้มี ก็จะมีจำนวนน้อยนิด มันน้อยจนจิตนี้สลายตัว ไม่เหลือความรัก ความสงสาร ไม่เหลือความเป็นคน

สังคมในโลกนี้ หากมีสังคมใดที่ทำให้คนร้อยกลุ่มพันกลุ่มเหล่านั้นอยู่ได้อย่างมีความสุข ฉันถือว่าเป็นสังคมที่ดี นี้คือหลักคิดในทางการเมืองที่เรียบง่าย มองดูโลกของเราส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น แสดงว่าโลกของเราดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เป็นโลกที่พอใช้ได้

ฉันหมายถึงเด็กที่ถูกตามใจจนเสียคน คนปัญญาอ่อน คนเกียจคร้าน คนรักร่วมเพศ กะเทย คนเพศที่สาม เพศที่สี่ ทุกคนยังล้วนอยู่ได้ ในบางสังคม คนเหล่านี้จะอยู่ไม่ได้เลย

 

ไม่นานมานี่เอง ที่มนุษย์เราเวลาคลอดลูก ครึ่งหนึ่งของเด็กเหล่านั้น จะเสียชีวิต และเป็นพักๆ จะเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ ผู้คนจะล้มตายเป็นใบไม้ร่วง พวกเขาไม่อาจอยู่ได้ เพราะอาหารไม่พอ โลกของเราเพิ่งจะผลิตอาหารจนเพียงพอที่จะรองรับประชากรของโลกที่หนาแน่นได้ ไม่นานมานี่เอง

สมัยก่อน หากไม่ทำสงครามกันจนล้มตาย จนผู้คนเบาบางลง พอที่จะรองรับกับอาหารที่มีจำกัด ก็คือต้องเกิดความอดอยาก จนผู้คนล้มตายไปเอง

มองจากจุดนี้ เราต้องขอบคุณปี 2021 และโลกที่เราอาศัยอยู่ ท่ามกลางข้อเสียมากมายที่รุมเร้ามันอยู่นี้

เด็กๆ น่าจะดีใจที่โลกอินเตอร์เน็ตช่างลึกล้ำ กว้างใหญ่ มีให้ค้นหาไม่สิ้นสุด น่าจะทุ่มเทพลังเข้าไปในนั้น จนกว่าจะไปถึงบางสิ่งที่เรายังหาคำจำกัดความไม่ได้ เรายังไม่รู้จัก แต่การกลับมาต่อสู้กับการเมืองแบบเก่า พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับทหาร ตำรวจ กฎหมายและปืน ซึ่งเป็นสิ่งเก่า

กว่าจะต่อสู้ได้แต่ละก้าว แสนยากเข็ญ และต่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ต้องการก็กินเวลายาวนานนับปีนับเดือน ในการย่างก้าวแต่ละก้าว และเมื่อได้มาแล้ว ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคิด

เมื่อคุณเลือกต่อสู้แบบเก่า ก็จะเผชิญหน้ากับสิ่งเก่า แต่จำเป็นแล้วหรือ ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วหรือ

สิ่งเก่าเหล่านี้ มีทางเอาชนะมันได้ไหม อาจมี แต่ต้องลงทุนมากมาย ต้องสูญเสียมากมาย ฉันไม่รู้ว่าจะคุ้มไหม มองดูอีกมุมหนึ่ง มันไม่ช้าก็ตายแล้ว จะรีบไปฆ่ามันทำไม

 

มนุษย์เรา ที่จริงแล้ว มีชีวิตอยู่ท่ามกลาง

๑ ความไม่เอาไหน

๒ ความกระอักกระอ่วน

๓ ความทุกข์ระทม

๔ ความขมขื่น

มันเป็นเช่นนี้จริงๆ เหมือนดูหนังอินเดีย เหมือนมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป แต่ไม่ใช่ มันคือสิ่งนี้ พิจารณาจากตัวเอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนโชคดีที่สุดคนหนึ่งในโลก ก็ยังห้อมล้อมด้วยสิ่งทั้งสี่นี้ เพียงแต่ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ฉันมองข้ามมันไป ไม่ไปจดจำ ความไม่เอาไหนนานา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความกระอักกระอ่วนใจใดๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ฉันไม่จดจำ แต่มันมีอยู่

ความทุกข์ระทมก็เช่นกัน มันเกิด หากฉันยอมให้มันเกิด พลิกจิตของฉัน ก็หายไป ความขมขื่นก็เช่นกัน พลิกจิตของฉัน มันก็จางหาย แต่สิ่งน่าทึ่งคือ มันมีอยู่ มันอยู่ตรงนั้น ในโลกนี้ไม่เคยจางหายไปไหน มันห้อมล้อมตัวเรา

พลิกจิตอีกที มันก็เกิดขึ้น กลับมาท่วมท้นตัวฉัน

ไม่น่าเชื่อ ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ ท่ามกลางความไม่เอาไหน ความกระอักกระอ่วน ความทุกข์ระทม และความขมขื่น