ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
เผยแพร่ |
ชกคาดเชือก
วงค์ ตาวัน
แล้วก็ไปสู่การจับปืนสู้
กว่า 2 เดือนแล้วที่ประชาชนชาวพม่าลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลทหาร ต่อต้านการยึดอำนาจล้มรัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของออง ซาน ซูจี ที่มีชนวนมาจากผลการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งพรรคการเมืองนอมินีของกองทัพ พ่ายแพ้ต่อพรรคของซูจีอย่างราบคาบ
เป็น 2 เดือนที่เต็มไปด้วยการนองเลือด การล้มตายของประชาชน จนน่าเป็นห่วงว่า จากจำนวนหลายร้อยศพ อาจจะไปถึงพันศพก็ได้ เพราะคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ ไม่มีทีท่าจะถดถอย เห็นคนล้มตายก็ยิ่งโกรธแค้น
แต่พร้อมๆ กัน สื่อมวลชนในพม่ารายงานว่า ประชาชนเริ่มเรียกร้องการจัดตั้งกองทัพของประชาชนเอง เพื่อจับปืนสู้แตกหักกับกองทัพของนายพลมิน อ่อง ลาย
โดยหลายคนกล่าวว่า การสังหารโหดของกองกำลังรัฐพม่า มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ฆ่าดะไปหมด ไม่เว้นเด็กเล็ก ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์
ส่วนประชาชนมีเพียงอาวุธที่ทำจากวัสดุเท่าที่หาได้ เช่น หนังยางดีดหิน ปืนประดิษฐ์ ธนู และค็อกเทลโมโลตอฟ หรือระเบิดเพลิง
อาวุธของชาวบ้านจึงไม่เพียงพอที่จะใช้ตอบโต้กับกระสุนจริงและความโหดร้ายจากฝ่ายรัฐ
บางคนให้สัมภาษณ์ว่า เราจะเอาแต่โยนค็อกเทลโมโลตอฟสู้กับทหารที่ใช้ปืนจริงคงไม่ได้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะต้องได้อาวุธจริง ปืนจริง กระสุนจริงไว้ยิงสู้กับฝ่ายทหาร
นั่นแปลว่า สถานการณ์ในพม่ากำลังจะก้าวไปสู่สงครามกลางเมืองอย่างจริงจัง กำลังจะมีกองกำลังติดอาวุธของประชาชนต่อสู้กับกองกำลังของรัฐบาลทหาร!
แน่นอนว่า เป็นพัฒนาการความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายๆ ประเทศ
เริ่มต้นจากประชาชนลุกขึ้นมาประท้วงด้วยสองมือเปล่า
จากนั้นฝ่ายรัฐที่ไม่ยอมเปิดหูเปิดตารับฟังเสียงเรียกร้อง เริ่มใช้การสลายม็อบจากแก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำ ไปจนถึงกระสุนยาง แล้วก็เป็นกระสุนจริง จนฝ่ายประชาชนไม่อาจนิ่งเฉยด้วยสองมือเปล่าได้ เริ่มตอบโต้ด้วยอาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ก่อนที่จะโดนปราบอย่างหนักหน่วงมากขึ้น เข่นฆ่าอย่างไม่ปรานีปราศรัย
เมื่อเลือดนองท้องถนน ศพประชาชนเริ่มทบทวี
ความแค้นก็ยิ่งเพิ่มระดับ ไปสู่การจับปืนขึ้นตอบโต้กับรัฐ
เป็นพัฒนาการที่รุนแรง ซึ่งเกิดมาแล้วให้เห็นในทั่วโลก และวันนี้พม่ากำลังพัฒนาไปสู่จุดนั้น!
ประชาชนพม่า โดยเฉพาะคนหนุ่ม-สาวจำนวนไม่น้อย เริ่มเดินทางไปยังฐานที่มั่นของกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่างๆ เพื่อร่วมจับปืนสู้กับรัฐบาลทหารพม่า หรือไปร่วมฝึกฝนการใช้อาวุธเพื่อเตรียมการใช้สงครามประชาชน
ทำให้ฝ่ายรัฐเริ่มตั้งด่านตรวจสกัดเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีการร่วมมือกันระหว่างประชาชนที่กำลังต่อต้านรัฐบาล กับกองกำลังที่เป็นอริกับรัฐบาล ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ชนบท
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มมีการใช้อาวุธต่อสู้ โดยประชาชนที่ยังประท้วงอยู่ในเมืองต่างๆ
เพราะสถานการณ์ไปถึงขั้นที่ประชาชนพร้อมจะถูกฆ่าได้ตลอดเวลา
ความจริงเหตุการณ์ที่ปรากฏในหลายพื้นที่ทั่วโลก บอกให้ได้รู้กันอยู่แล้วว่า ถ้าถึงวันที่ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านรัฐ อย่างเป็นกระแสใหญ่ ถึงเวลานั้นการใช้อำนาจรัฐ ใช้กฎหมาย ใช้ทหาร ตำรวจพร้อมกระสุนจริงยิงฆ่า ก็ไม่อาจหยุดยั้งคลื่นประชาชนที่โกรธแค้นเหล่านี้ได้
แล้วถึงจุดหนึ่งประชาชนก็จะสร้างกองทัพของตัวเองขึ้นมา
ประเทศนั้นก็จะกลายเป็นสมรภูมิสงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบ!!
การต่อสู้ของประชาชนอาจจะไปรวมตัวก่อการในพื้นที่ป่าเขาในชนบท จัดตั้งกองกำลังมีฐานที่มั่น ออกสู้รบ แล้วมุ่งหน้าเข้ายึดเมือง
หรืออาจจะเป็นกองกำลังสู้แบบใต้ดินอยู่ในเมือง ใช้การก่อการร้ายในเมืองเพื่อโค่นล้มรัฐบาล
นั่นแปลว่า ทฤษฎีที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นมีการต่อสู้นั้น เป็นความจริงที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วทั่วโลก ในวันนี้ก็กำลังปรากฏในพม่าอย่างชัดเจน
ประชาชนชาวพม่าตามเมืองต่างๆ ยังพากันออกมาต่อต้านกองกำลังรัฐในทุกๆ วัน ไม่กลัวแม้มีคนล้มตายเลือดนองไปทั่ว
คนพม่าที่ไปทำมาหากินใน-นอกประเทศ ก็ร่วมแสดงพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือไม่เอารัฐบาลที่ก่อการรัฐประหารและเป็นเผด็จการ แต่ต้องการประชาธิปไตย
คนพม่าที่เข้ามาทำงานในบ้านเราก็แสดงออกเช่นนี้
สาวงามมิสแกรนด์ที่มาประกวดเวทีใหญ่ในไทย ก็ประกาศบนเวทีชัดเจนถึงท่าทีร่วมสนับสนุนเพื่อนร่วมชาติในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ จนกระทั่งเมื่อประกวดเสร็จ ก็คงจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในไทยต่อไปสักระยะ ขืนกลับไปคงถูกจับกุมแน่นอน
รวมทั้งคนพม่าที่ไปทำมาหากินในหลายประเทศก็แสดงออกโดยทั่วหน้า
โดนฆ่ามากๆ เข้า ก็ยกระดับความแค้นไปสู่การเรียกหาแนวทางจับปืนสู้ เพื่อตอบโต้เอาคืน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
เมื่อแนวทางสันติไม่สามารถเดินต่อไปได้ ดังนั้น ทางสุดท้ายจึงกลายเป็นใช้ปากกระบอกปืนทวงอำนาจรัฐแทน
มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยได้เรียนรู้จากสถานการณ์ในพม่า ที่นับวันร้ายแรงมากขึ้น และบอกให้เห็นได้ว่า การใช้อำนาจควบคุมและปราบปรามประชาชนนั้น ไม่สามารถทำให้ผู้คนยอมสยบได้ มีแต่ยิ่งต้านยิ่งสู้
ด้านหนึ่งรัฐบาลไทยเริ่มถูกจับตาในด้านการวางตัว ว่าแอบไปสนับสนุนนักรัฐประหารในพม่าด้วยหรือไม่ เนื่องจากมีที่มาใกล้เคียงกัน
เริ่มจากการที่ไปพูดคุยกับรัฐมนตรีของพม่าที่มาจากรัฐบาลรัฐประหาร อันเป็นการสวนกระแสโลก ที่ตอนนี้พากันต่อต้านและคว่ำบาตร ยิ่งเกิดการเข่นฆ่าประชาชนจนศพเกลื่อน ทั่วโลกยิ่งร่วมกันขัดขวางรัฐบาลเปื้อนเลือดนี้อย่างเข้มข้น
ประการต่อมา เกิดเหตุกระสอบข้าวปริศนาริมชายแดน และล่าสุดคือการส่งตัวแทนทหารไปร่วมพิธีสวนสนามวันกองทัพพม่า
อีกด้าน สถานการณ์ในไทยวันนี้ ก็มีอะไรหลายอย่างที่เทียบเท่ากับเป็นน้องๆ พม่า!?
เพราะมีการสลายม็อบแทบทุกวัน บางวันก็เบาๆ ธรรมดา บางวันก็หนักหนาสาหัส
ที่สำคัญมีการจับกุมคุมขังผู้ต้องหาในคดีทางความคิดอุดมการณ์มากมาย โดยไม่ให้ประกันตัวด้วย จนเริ่มพูดกันว่าคุกจะไม่พอขังคนหนุ่ม-สาวนักต่อสู้แล้ว
ประเทศไหนก็ตามที่มีการจับกุมคนหนุ่ม-สาวที่ต่อสู้ทางการเมืองมากๆ ทั่วโลกจะจับตามองว่านี่คือ รัฐเผด็จการ
สถานการณ์ในไทยวันนี้ก็เป็นที่จับตาจากหลายชาติว่า จะเป็นเหมือนน้องๆ พม่าหรือไม่
อันที่จริงบทเรียนในประเทศไทยเองก็มีมากมายให้เรียนรู้
เช่น การปราบโหดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ฆ่ากลางธรรมศาสตร์ เอาศพไปเผา เอาไปแขวนคอแล้วใช้เก้าอี้ฟาด
ผลก็คือนักศึกษาหลายพันคนแห่กันเข้าป่าไปจับปืนร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ สู้รบเพื่อล้างแค้นให้เพื่อน จนทำให้สงครามคอมมิวนิสต์ขยายตัวลุกลามไปทั่ว
สุดท้ายรัฐต้องแก้ไขด้วยการออกคำสั่ง 66/2523 แนวทางการเมืองนำการทหาร สงครามในป่าจึงสลายลงได้
ถ้าไม่ยอมปรับทางแก้ ป่านนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้กับประเทศไทย
ขณะที่เหตุการณ์ในพม่า ก็เริ่มจากแก๊สน้ำตา กระสุนยาง แล้วไปถึงการใช้กระสุนจริง จนพัฒนาไปถึงขั้นที่ประชาชนประกาศจะจับปืนสู้แล้ว
ของไทยเราอย่าได้พัฒนาไปถึงขั้นนั้นเลย ถ้าผู้กุมอำนาจยอมรับฟังเสียงเรียกร้อง ยอมปรับแก้คลี่คลายทางการเมือง
แต่ถ้ายังเดินหน้าจับกุมเอาเข้าคุกแบบนี้ ก็คือการเริ่มต้นเส้นทางที่คล้ายๆ พม่า และอาจจะคล้ายๆ สมัยเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั่นเอง!