ไม่มีนิติธรรม… ในระบอบอำมาตยาธิปไตย เด็กไทยจึงถูกจับ…ขังคุก… / หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว มุกดา สุวรรณชาติ

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว

มุกดา สุวรรณชาติ

 

ไม่มีนิติธรรม…

ในระบอบอำมาตยาธิปไตย

เด็กไทยจึงถูกจับ…ขังคุก…

เราถูกปกครองด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตยมาหลายปีแล้ว

แม้เราจะมีรัฐธรรมนูญที่เขียนว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่หลังรัฐประหาร 2549 และ 2557 คนชั้นนำและคนส่วนหนึ่งในสังคมไทยยอมรับอำนาจจากการรัฐประหาร ว่าถูกต้อง ถึงขนาดมีคนไปให้การในศาล…

ผบ.ร้อย.สห.มทบ.23 พยานโจทก์คดี ‘ไผ่ ดาวดิน’ ชูป้ายต้านรัฐประหาร บอกว่า การชูป้าย “คัดค้านรัฐประหาร” เป็นการทำลายประชาธิปไตย ต้องรับโทษและถูกปรับทัศนคติ

นี่ไม่ใช่เรื่องตลก และไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมนี้ มีคนจำนวนมากเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ดังนั้น การเมืองไทยจึงยังล้าหลังและวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ ไม่ต่างจากครึ่งศตวรรษที่แล้ว

 

ในสังคมไทยตั้งแต่ดั้งเดิมมา ประชาชนจะยอมรับอำนาจของฝ่ายผู้ปกครองเสมอ ไม่ว่าอำนาจนั้นจะมีที่มาอย่างไร แม้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ความเคารพเชื่อมั่น ต่ออำนาจของตนเอง ของประชาชน ก็ยังน้อยกว่าความเกรงกลัวต่ออำนาจของผู้ปกครอง

ความเข้าใจของนายทหารท่านนี้หรือความเข้าใจของประชาชนจำนวนมากต่ออำนาจปกครอง คือเมื่อมีการรัฐประหาร ใครก็ตามที่ยึดอำนาจได้สำเร็จ จะได้รับการยอมรับไปชั่วระยะที่มีอำนาจ ว่าทำถูกต้อง การต่อต้านจะมีน้อยมาก จะมาประณามด่าว่า ก็ต่อเมื่อคนนั้นหรือคนกลุ่มนั้นตกอำนาจไปแล้ว จากวีรบุรุษจึงจะกลายเป็นผู้ร้าย

การยอมรับอำนาจรัฐที่มาจากการยึดอำนาจนั้นไม่เพียงจากคนธรรมดา แต่จะได้รับการยอมรับจากสถาบันต่างๆ แม้แต่ฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นหนึ่งในสามอำนาจก็ยอมรับ

ถึงแม้กฎหมายจะมีมาตรา 113 เขียนไว้ว่าโทษของผู้กำลังล้มล้างอำนาจอธิปไตยของประชาชน มีโทษถึงประหารชีวิต แต่คณะรัฐประหารทุกชุดก็จะนิรโทษกรรมตัวเอง สภาที่เลือกตั้งส่วนใหญ่ก็มักจะถูกปิดถูกยุบไปแล้ว

เมื่อฝ่ายตุลาการยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร และถือคำสั่งของคณะรัฐประหารเป็นกฎหมาย ประชาชนยอมรับตามไปด้วย นานไปก็กลายเป็นอำนาจถาวรในที่สุด เราจึงได้เห็นคำสั่งคณะรัฐประหารหลายชุดที่กลายเป็นกฎหมายหลายฉบับ

 

สภา และองค์กรแต่งตั้งทั้งหลาย

คือเครื่องมือของคณะรัฐประหาร

จากนั้นผู้มีอำนาจจะออกคำสั่งเพื่อใช้บังคับกับประชาชน แม้คำสั่งนั้นจะไม่มีในกฎหมายดั้งเดิมก็ตาม แต่สามารถทำได้ และคำสั่งนั้นก็จะกลายเป็นกฎหมาย โดยสภานิติบัญญัติที่ตั้งขึ้นเอง เช่น ห้ามชุมนุมกันเกิน 5 คน ห้ามมีการเรียกร้องเคลื่อนไหวทางการเมือง ยุบพรรคการเมือง สั่งปิดสื่อสารมวลชน น.ส.พ. สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ สามารถสั่งจับคนไปขังไว้ เพื่ออบรม ทำอย่างไรก็ได้

การต่อสู้เรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นหลักของสิทธิเสรีภาพ ยังมีน้อยอยู่เพราะคนส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่าห่างไกลตัวเอง ถ้าความเดือดร้อนยังมาไม่ถึงตัวในวันนี้

ในระบอบการปกครองแบบนิติรัฐ กฎหมายจะต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชน แต่ในระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายลดลง ที่สำคัญมิใช่เป็นเพราะเนื้อหากฎหมายฉบับนั้นหรือมาตรานั้น แต่เพราะกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมาย ที่ไม่เป็นไปแบบยุติธรรมที่มีมาตรฐาน หากแต่มีการเลือกบังคับใช้เฉพาะคนเฉพาะกลุ่มเพราะในระบอบอำมาตยาธิปไตยมีอภิสิทธิ์ชน

สุดท้ายประชาชนก็เข้าใจได้ว่า นี่เป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำลายบุคคลหรือกลุ่ม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือเพื่อเงินทอง การตัดสินคดีหลายคดี ประชาชนบอกล่วงหน้าได้ว่าถ้าเป็นบุคคลนี้จะต้องถูกลงโทษ ถ้าเป็นบุคคลนั้นจะไม่ต้องได้รับโทษ หรือได้รับโทษน้อย ซึ่งแทบไม่เคยมีใครเดาผิดเลย

สภาพบ้านเมืองวันนี้ อยู่ในขั้นวิกฤตยุติธรรม…

ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการยุติธรรมมีมากมาย ตั้งแต่อาจารย์ นักศึกษากฎหมาย และทนาย จนถึงข้าราชการ ไปถึงขั้นอัยการ ศาล

แต่จะหาคนที่คัดค้าน และต่อสู้เพื่อหลักกฎหมายที่ถูกต้อง หรือให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปอย่างเที่ยงตรง มีน้อยเต็มที อยุติธรรมจึงเกิดซ้ำซาก

เยาวชนเคลื่อนไหว

เพราะเห็นความอยุติธรรมครองเมือง

…แต่ต้องติดคุก

เด็กไทยเติบโตมาจากการสั่งสอนว่าจะต้องอยู่ฝ่ายธรรมะ ต้องมีความยุติธรรม ต้องเสียสละและต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เด็กทุกคนอยากเล่นบทพระเอก แต่เมื่อทำอย่างนั้นเข้าจริงๆ ผู้ใหญ่กลับรับไม่ได้ พยายามอ้างว่าเด็กถูกชักจูง แต่ความจริงแล้วผู้ใหญ่ต่างหากที่ถูกชักจูงจนออกนอกกรอบของศีลธรรม ความดีงาม และผลประโยชน์ของชาติ ปัญญาชน สื่อมวลชน และคนที่มีฐานะนำในสังคม ส่วนใหญ่ก็เพิกเฉย หรือไปหาประโยชน์ร่วมกับผู้มีอำนาจ

ถ้ามองไกลถึงอนาคตเด็กและเยาวชนรุ่นนี้จะลำบากมาก จะต้องแบกรับ…หนี้ทั้งหมดไว้ ทำมาหากินก็ยาก พวกเขาจะพบทั้งปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาแก้ไขนานเกิน 10 ปี

แต่ไหนแต่ไรมา…สายตาในการมองเห็นความยุติธรรมของเยาวชนกับผู้ใหญ่นั้นต่างกัน

ผู้กล้าตอนนี้จึงเป็นเด็กๆ แต่ใจถึง…คำประกาศทั้งในม็อบ…ในศาล เปิดเผยความจริงจนฝ่ายผู้มีอำนาจคงรับไม่ได้ ดังนั้น พวกเขาจะไม่ตอบด้วยเหตุผล แต่จะกดดัน ต่อต้าน ดิสเครดิต ข่มขู่ คุกคาม จับกุม คุมขัง ดำเนินคดี

ถึงเวลานี้กลุ่มเยาวชนกำลังแก้ไขปัญหาในสังคมตามความเชื่อที่เขาได้ร่ำเรียนมา ว่าอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งคือที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนให้มาปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีอำนาจที่สูงสุด ต้องมีอำนาจกำหนดตัวผู้ปกครอง วิธีการปกครอง กำหนดตัวบทกฎหมาย กำหนดกติกาทางเศรษฐกิจ การแบ่งสรรทรัพยากร

การที่เด็กเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญโดยตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากประชาชนจึงเป็นเรื่องถูกต้องมีคนจำนวนมากในสังคมนี้เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องนั้น และถ้าไม่สู้ตั้งแต่ตอนนี้ ก็ต้องอยู่อย่างพม่า ในอดีตตลอด 50 ปีที่ผ่านมา แต่มีการนำเอาการกดขี่มาร่างเป็นกฎเกณฑ์ เพื่อใช้บังคับไม่ให้คนต่อสู้กับอยุติธรรม คุกตะรางกลายเป็นเครื่องมือข่มขู่ให้ยอมรับระบอบอำมาตยาธิปไตย

ถ้าผู้ปกครองไม่ยอมรับการปฏิรูปแม้แต่แก้รัฐธรรมนูญ การต่อสู้วันข้างหน้าจะรุนแรงขึ้นและอาจเป็นแบบพม่าในวันนี้

สถานการณ์ที่เป็นจริงขณะนี้ ความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การต่อสู้ก็กลายเป็นหน้าที่

ญาติวีรชนพฤษภาทมิฬ และ 30 องค์กรประชาธิปไตย จัดกิจกรรม “สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย” คงไม่จัดครั้งเดียว กลุ่ม OctDem ของคนรุ่น 14 ตุลา 16 – 6 ตุลา 19 ขยับตัวแล้ว แต่ยังน้อยเกินไป เรายังต้องการกลุ่มทนาย อดีตผู้พิพากษา อัยการ นักวิชาการที่ มีทั้งความรู้ สติปัญญา ประสบการณ์

ถ้ายังนิ่งเฉย ปล่อยให้เด็กๆ สู้ตามลำพัง การปกครองแบบนี้จะดำเนินต่อไป ตามแผนยุทธศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง ไปอีก 20 ปี เราจะกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังทุกด้าน