ไปแก้มา แก้ให้ได้ ก็แล้วกัน / บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ไปแก้มา

แก้ให้ได้

ก็แล้วกัน

 

วาทะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ที่เปล่งกังวาลออกมาเมื่อ 22 มีนาคม

“ก็ว่ากันไป ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ผมบอกแล้วว่ารัฐบาลก็เสนอแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ส่วนว่าจะแก้ไขทั้งฉบับหรือแก้เฉพาะรายมาตรา ผมเองก็ไม่ขัดข้องถ้าทำได้ ก็ต้องไปดูที่กฎหมายรัฐธรรมนูญว่าเขียนไว้อย่างไร ก็แค่นั้น ผมไม่จำเป็นจะต้องไปสั่งใคร ทุกคนต่างก็มีความคิด ดีๆ ก็มี ไม่ดีก็มี ทำไมถ้ามีการระแวงว่า ผมจะสืบทอดอำนาจก็ไปแก้มา จะเลือกผมหรือไม่เลือกผมก็ไม่ได้ขัดข้อง ไม่เลือกก็ได้ ก็ไปแก้มา แก้ให้ได้ก็แล้วกัน…”

น่าสนใจ

ด้วยเพราะคำพูดดังกล่าว มากด้วยความก้าวร้าว ท้าทาย และเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

มั่นใจที่จะครองอำนาจอีกต่อไป

หลังจากสามารถสยบประเด็นและเงื่อนไขที่จะมาบั่นเซาะอำนาจของตนเองลงได้อย่างราบคาบ และรอบด้าน

 

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายต่อต้านนอกสภา ที่รัฐบาลใช้กฎหมายเหล็กเข้มข้น ทั้งมาตรา 112 มาตรา 116 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อันเนื่องจากโรคระบาด และอีกนานาสารพัดข้อกฎหมาย เข้าจัดการแกนนำอย่างต่อเนื่อง

ทำให้ต้องติดคุกยาว ไม่ได้รับประกันตัว

ทำให้ขบวนการประชาชนนอกสภา กระสานซ่านเซ็น

แม้จะพยายามรวมตัวกันอย่างไร ก็จะเผชิญการปราบปรามอย่างเด็ดขาด รุนแรงจนไม่เป็นขบวน

รัฐบาลดูเหมือนจะมั่นใจว่า ม็อบฝ่อ และไร้พิษสง

 

ส่วนในสภานั้น ศึกซักฟอกที่ผ่านมา แม้จะทิ้งบาดแผลเอาไว้กับรัฐมนตรีต่างหลายคน ประจวบเหมาะกับการที่รัฐมนตรีหลายคนต้องหลุดจากตำแหน่งด้วยเจอโทษ “จำคุก” กรณีที่ไปเคลื่อนไหวร่วมกับ กปปส.

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งประสานมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สยบแรงกระเพื่อมทางการเมือง โดยเฉพาะการแย่งชิงเก้าอี้

สามารถจำกัดขอบเขตการปรับคณะรัฐมนตรี ให้เป็นเพียงการปรับเล็ก

และที่สำคัญ บุคคลที่เลือกเข้ามาดำรงตำแหน่ง เป็นไปตามการกำหนดของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร

มิใช่การปรับไปตามแรงกดดัน หรือเรียกร้องของกลุ่มอิทธิพลในพรรคพลังประชาชรัฐหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น

สะท้อนถึงอำนาจเบ็ดเสร็จที่ พล.อ.ประยุทธ์คุมการบริหาร ส่วน พล.อ.ประวิตรคุมพรรค

ทำให้ “การเมือง” สงบเงียบ

อันหมายรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่พลอยสงบนิ่งตามพรรคพลังประชารัฐไปด้วย

 

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลโดยความร่วมมือของวุฒิสมาชิกและพรรคพลังประชารัฐ สามารถทำแท้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 สำเร็จ

ถือเป็นการผ่านด่านสกัดรัฐบาลอันสำคัญลงได้

แม้จะถูกกล่าวหาว่า โกหก ปลิ้นปล้อน เป็นศรีธนญชัย

แต่การที่สามารถหักโค่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญลงได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ย่อมนำความพึงพอใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างมาก

มากพร้อมๆ กับการ “ลอยตัว” เหนือความขัดแย้ง ด้วยการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

เป็นเรื่องของสภา และเป็นการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

นี่เอง ที่ทำให้เราได้ฟังวาจาในเชิงท้าทาย ทำนองว่า “ผมจะสืบทอดอำนาจ ก็ไปแก้มา จะเลือกผมหรือไม่เลือกผมก็ไม่ได้ขัดข้อง ไม่เลือกก็ได้ ก็ไปแก้มา แก้ให้ได้ก็แล้วกัน…”

อันเสมือนเป็นการบอกนัยๆ ว่า ถึงจะมีการเปลี่ยนเป้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไปเป็นการแก้ไขรายมาตราก็ตาม

แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะวุฒิสมาชิกกับรัฐบาลยังคงเหนียวแน่น ไม่แตกแถว

แม้พรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยดึงพรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา มาเป็นแนวร่วม

โดยจะกดดันให้รัฐบาลรับเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา

แต่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์คงไม่รับลูก และเตะโด่งออกไปให้เป็นเรื่องของพรรคการเมือง และรัฐสภา

 

ภาวะลอยตัวดังกล่าว แน่นอน ย่อมนำความไม่พอใจให้กับพรรคร่วมรัฐบาล

แต่กระนั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็คงเชื่อมั่นว่าพรรคร่วมคงไม่กล้าแตกหักถึงขนาดถอนตัวออกจากรัฐบาล

เพราะประโยชน์ที่จะได้รับจากการเป็นรัฐบาล ย่อมมากกว่าการเป็นฝ่ายค้านแน่นอน

ดังนั้น ถึงจะมีแรงกระฟัดกระเฟียดจากพรรคร่วม แต่ก็น่าจะเอาอยู่

และที่สำคัญ ขณะนี้เริ่มมีกระแสข่าวการ “ตั้งพรรคใหม่” ของพี่-น้อง 3 ป. ประวิตร-ประยุทธ์-ป.ป๊อก ถูกปล่อยออกมาเป็นระยะ

มีการกล่าวขานถึงพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งจะเป็นพรรคสาขา หรือเป็นพรรคแนวร่วม ให้กับพรรคพลังประชารัฐ

ถือเป็นขั้วการเมืองใหม่ ที่จะอยู่ภายใต้การคอนโทรลของ 3 ป.

โดยไม่ต้องไปพึ่งพาเสียงของพรรคร่วมอื่น โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ ที่มีอาการพยศอยู่ตลอดเวลา

อันจะทำให้การต่อรองของพรรคร่วมลดน้อยลง

ขณะเดียวกันก็จะเปิดกว้างในการกวาดต้อนนักการเมือง ทั้งที่เป็นงูเห่า เป็นพวกฝากเลี้ยง เข้ามาอยู่ในพรรคใหม่นี้

ทำให้ฐานคะแนนของพรรคพลังประชารัฐ และพรรคการเมืองใหม่ กว้างขึ้น

 

พรรคใหม่นี้ถูกพาดพิงไปถึงข้าราชการผู้ใหญ่แห่งกระทรวงคลองหลอด ที่จะเป็นแกนหลักคุมนักการเมือง เป็น “ท่ออำนาจ” ให้กับ คสช. และพี่-น้อง 3 ป.ในอนาคตอันใกล้

เรื่องนี้แม้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะปฏิเสธว่าไม่มีแนวคิด พวกสื่อมวลชนไปคิดกันเองทั้งนั้น

เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าวตั้งพรรคการเมืองใหม่ ว่าไม่มีหรอก ผมไม่รู้เรื่อง

ส่วนกระแสข่าวบิ๊กข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ พล.อ.อนุพงษ์ก็บอกว่า เห็นมีแต่คนเขาพูดกัน จะทำได้อย่างไร ในเมื่อเป็นข้าราชการและยังทำงานอยู่

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์มีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้

โดยกล่าวว่า หากจะมีคนนำชื่อม็อตโต้ รวมไทยสร้างชาติ ไปตั้งเป็นชื่อพรรคการเมือง ว่า เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเอาไปตั้งเป็นชื่อพรรค มีการสงวนสิทธิ์หรือเปล่าก็ไม่รู้

“แต่สำหรับผมไม่ได้สงวนสิทธิ์ ใครก็ได้รวมไทยสร้างชาติ เป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไทยจะตั้งชื่อไทยสร้างชาติหรือรวมไทยอะไรก็แล้วแต่ ก็ตั้งมาเถอะ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ส่วนที่มีการมองว่าการตั้งพรรคการเมืองใหม่โดยใช้ชื่อรวมไทยสร้างชาติเป็นการผูกโยงพรรคสำรองของรัฐบาลนั้น พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า “เรื่องนี้สื่อเป็นคนโยงกันเองไม่ใช่หรือ เราไม่ได้โยง และยืนยันว่าส่วนตัวไม่มีแนวคิดที่จะตั้งพรรคการเมืองสำรอง เรื่องนี้ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันไม่ใช่เรื่องของผม”

 

คําพูดในเชิงปฏิเสธต่อการตั้งพรรคการเมืองใหม่ของ 3 ป.นั้น

ในนาทีนี้ คงต้องฟังหูไว้หู

ด้วยเพราะความมั่นใจที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกผ่านวาจา ด้วยการท้าทายให้ไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากสงสัยว่าตนเองสืบทอดอำนาจนั้น

แสดงถึงความมั่นใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “เกมแห่งอำนาจ” อยู่ในมือและภายใต้การกำหนดของตนเอง และ 3 ป. โดยมีพรรคพลังประชารัฐ สมาชิกวุฒิสภา รวมถึงกองทัพให้การสนับสนุน

และในอนาคตจะมีพรรคสาขาเข้ามาร่วมอีก

นี่ย่อมทำให้เส้นทางแห่งการครองอำนาจ อย่างน้อยอีก 1 สมัย รวมกว่า 10 ปี มีความเป็นไปได้

 

แต่กระนั้นในฝั่งฟากฝ่ายค้าน ต่างไม่เห็นพ้องด้วยสักเท่าใดนัก

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) มองว่า การตอบคำถามเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ โดยระบุ ถ้าระแวงว่าตนเองจะสืบทอดอำนาจก็ไปแก้มา แก้ให้ได้ก็แล้วกัน นั้น พล.อ.ประยุทธ์รู้ตัวหรือไม่ว่าคำพูดนี้ถือเป็นใบเสร็จรับรองว่าตนเองเป็นผู้ปฏิวัติ เพื่อสร้างรัฐธรรมนูญมาสืบทอดอำนาจ

ทำให้กระบวนการแก้ไขยุ่งยากซับซ้อน เสมือนการผูกเงื่อนตายให้กับประเทศ เพื่อให้ตัวเองและสิ่งที่ทำผ่านองคาพยพและแม่น้ำทุกสายจากหัวหน้า คสช.อยู่ในอำนาจที่หอมหวาน แต่แท้จริงแล้วคือยาพิษทำลายชีวิตคนไทย

ส่วนนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) บอกว่า คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ออกมาเช่นนี้ เท่ากับออกมายอมรับและท้าทายว่าไม่มีทางที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยากให้แก้

การพูดของ พล.อ.ประยุทธ์แสดงเจตนาที่ชัดเจนว่าไม่เคยมีความคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น และต้องการสืบทอดอำนาจของ คสช.อีกยาวนาน แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่พร้อมที่จะส่งต่ออำนาจให้คนในเครือข่าย คสช.ตามที่มีการวางแนวทางกันไว้ให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้อำนาจของเผด็จการไปอีก 20 ปี ตามยุทธศาสตร์ชาติ

เช่นเดียวกับนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) บอกว่า คำพูดในเชิงท้าทายประชาชนว่า “แก้รัฐธรรมนูญให้ได้ก็แล้วกัน” ชี้ถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่คิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย

“ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับที่รังสรรค์ขึ้นโดยคณะรัฐประหารยังคงอยู่สืบไป มีองค์กรตามรัฐธรรมนูญ บางองค์กรที่คอยทำหน้าที่เป็นนั่งร้านให้เผด็จการได้สืบทอดอำนาจ และคอยลิดรอนอำนาจของประชาชน อ้างการปฏิรูปประเทศ ทั้งๆ ที่จนถึงปัจจุบัน ประชาชนก็สงสัยว่าปฏิรูปประเทศประสาอะไร ประเทศถึงได้ถอยหลังลงอยู่ทุกวัน พอประชาชนไม่ยอมจำนน ไม่ยอมสยบยอมต่อคำสั่งของเผด็จการ ก็จะถูกนิติสงคราม และถูก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เล่นงานอย่างสองมาตรฐาน ประเทศที่มองประชาชนเป็นเพียงผู้ถูกปกครองแบบนี้ จะเดินหน้าไปไม่ได้” นายวิโรจน์กล่าว

ถือเป็นปฏิกิริยาท้าทายกลับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างทันควัน

ท้าทาย อยู่ให้ได้ก็แล้วกัน!