ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มีนาคม - 1 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
เผยแพร่ |
เมนูข้อมูล
นายดาต้า
‘กัญชา’ ยังเหลื่อมล้ำ
กระแสหนึ่งที่ครอบครองความสนใจของคนไทยในช่วงนี้ทั้งอย่างกว้างขวาง และลึกซึ้งคือ
“กัญชา”
พืชชนิดนี้อยู่กับวิถีชีวิตของคนไทยโบราณมายาวนาน มีหลักฐานตำรายาเก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 360 ปี ชื่อ “คัมภีร์ธาตุพระรารายณ์” หรือตำราพระโอสถพระนารายณ์ มีกัญชาอยู่ในตำรับด้วย
วิถีชีวิตคนไทยอยู่ร่วมกับกัญชามายาวนาน กระทั่งพืชที่อยู่คู่สังคมชนบทไทยมายาวนานกลายเป็นพืชต้องห้ามเพราะมีกฎหมายบัญญัติให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ
ชีวิตคนไทยมากมายที่ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาเสียอนาคตไปเพราะกฎหมายดังกล่าวนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ความผูกพันที่มีมาอย่างยาวนานทำให้กัญชายังแพร่หลายอยู่ในหมู่คนไทย แม้จะต้องดูร่วมกันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่คนไทยก็ไม่เคยทิ้งกัญชา ยังผูกพันพึ่งพาอยู่ตลอดมา
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลเริ่มที่จะปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดที่ผิดดกฎหมาย มาให้คนไทยใช้ชีวิตร่วมอย่างไม่ต้องหลบต้องซ่อนอีกครั้ง จึงเป็นเรื่องที่ผู้คนจำนวนมากยินดีปรีด์เปรม
แต่ก็อีกนั่นแหละ เนื่องจากการปลดล็อกกัญชามีเบื้องหลังของผลประโยชน์ทางธุรกิจ ด้วยว่าเกิดการค้นพบว่ากัญชาเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์สูงยิ่งต่อการรักษาโรคหลายโรคที่เกิดจากสารในร่างกายเสียสมดุล
กัญชาช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ทำให้โรคต่างๆ บรรเทาเบาบางลงได้ โดยเฉพาะโรคที่มีอาการในคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตปกติอย่างไม่ระมัดระวัง จนเกิดความเครียดอันเป็นต้นทางของโรคต่างๆ
กัญชาช่วยปรับจูนให้ความผิดเพี้ยนกลับมาเป็นปกติ
เพราะมีเบื้องหลังเป็นธุรกิจด้านสุขภาพที่มูลค่ามหาศาล ทำให้กระบวนการผลิตสินค้าที่มีกัญชาเข้าเป็นส่วนผสมถูกหมายปองจากทุนใหญ่ทุนน้อยเป็นจำนวนมาก
กระทั่งกฎหมายที่ออกมาปลดล็อกนั้นถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้ทำเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง เพราะสร้างเงื่อนไขไว้มากมายที่จะกีดกันไม่ให้ชาวบ้านทั่วไปปลูกได้โดยไม่มีความผิดจริง
โดยเฉพาะที่ระบุว่า ให้บ้านหนึ่งปลูกได้ไม่เกิน 6 ต้น โดยคนที่ปลูกต้องขึ้นทะเบียนในวิสาหกิจชุมชนเป็นอย่างน้อย และมีข้อจำกัดอื่นๆ อีกมากมาย
จนกลายเป็นว่า “ทุนใหญ่” จัดการให้เป็นธุรกิจได้ง่ายกว่า
ความเป็นไปเช่นนี้ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจกับคนไทยที่มีชีวิตผูกพันกับกัญชามายาวนานอยู่ไม่น้อย เนื่องจากต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ร่วมกับกัญชามานานมาก แต่เมื่อเปิดเสรี หรือปลดล็อก กลับเอื้อโอกาสให้กับนายทุนมากกว่า
“กรุงเทพโพลล์” สำรวจเมื่อไม่นานมานี้ในเรื่อง “ปลดล็อกกัญชา สู่พืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย”
ร้อยละ 52.3 รู้เรื่องปลูกกัญชาได้บ้านละ 6 ต้น แต่ไม่ทราบรายละเอียด มีร้อยละ 30.4 ที่รู้ว่าต้องรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน ขณะที่ร้อยละ 17.3 เข้าใจว่าปลูกได้อย่างเสรี มีถึงร้อยละ 35.5 ที่ไม่ทราบข่าว
ร้อยละ 53.3 บอกว่าบ้านละ 6 ต้นไม่เพียงพอต่อการสร้างรายได้ ร้อยละ 46.7 ที่บอกว่าเหมาะสมแล้ว
มากถึงร้อยละ 71.3 เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความรู้ และช่วยหาตลาดรองรับ ร้อยละ 47.5 ขอให้ปรับเงื่อนไขให้ผู้สนใจเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ร้อยละ 44.7 ให้สนับสนุนผู้สนใจผลิตสินค้าแปรรูปจากกัญชา
ผลโพลนี้แสดงให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังมะงุมมะงาหรากับการหาทางเพื่อกลับมาอยู่ร่วมกับสมุนไพรชนิดนี้ ด้วยความหวังว่าจะรัฐบาลจะช่วยอำนวยความสะดวก
ที่น่าเศร้าก็คือ ถึงวันนี้การลงทุนในธุรกิจกัญชาเป็นไปอย่างเข้มข้น จริงจัง
“ทุนใหญ่” ทุ่มมหาศาลเพื่อช่วงชิงการยึดครองตลาด
ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นโอกาสของชาวบ้านที่ทุกข์ทนกับการอยู่กับกัญชาโดยหลบเลี่ยงกฎหมายมายาวนาน แต่เมื่อถึงวันที่สร้างรายได้ กลับเจอเงื่อนไข และข้อกำหนดมากมาย
เป็นเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ กติกาที่ “ทุนใหญ่” สามารถจัดการเพื่อก้าวผ่านสู่การสร้างธุรกิจได้ง่ายดาย
แต่ชาวบ้านทั่วไป เหมือนจะมีโอกาสแค่เป็นผู้บริโภคที่ต้องซื้อหาเอาจากธุรกิจของทุนใหญ่ เพราะหากลงไปปลูก หรือผลิตเพื่อพึ่งพาตัวเอง สุ่มเสี่ยงมากจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ยังอาศัยกฎหมายซึ่งยังคลุมเครือเข้าจัดการได้
โอกาสของการกลับไปอยู่ร่วมกับ “กัญชา” มาถึงแล้ว
เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นความจริงใจที่จะเปิดเสรีอย่างทั่วถึงจากผู้มีอำนาจ