หนึ่งเดือนกว่าผ่านไป Clubhouse ในไทยเป็นอย่างไร / Cool Tech จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin
Pretty cheerful European girl in trendy wear, walks across metropolis, enjoys online playlist song in earphones, has charming smile, poses on street, copy space area for advertising content.

Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน

@Sue_Ching

Facebook.com/JitsupaChin

 

หนึ่งเดือนกว่าผ่านไป

Clubhouse ในไทยเป็นอย่างไร

 

ผ่านมาเดือนกว่าแล้วนับตั้งแต่แอพพลิเคชั่น Clubhouse โซเชียลมีเดียที่ออกแบบมาสำหรับการพูดและฟังโดยเฉพาะฮิตเปรี้ยงปร้างในเมืองไทย

ถึงแม้ว่าในตอนต้นจะเริ่มต้นด้วยการเป็นแอพพ์แบบ Invitation Only และเปิดให้สำหรับคนใช้ iPhone หรือ iPad เท่านั้น

แต่ก็มีคนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปอยู่บนแพลตฟอร์มและได้กลายเป็นงานอดิเรกใหม่ให้คนเปิดเข้าไปนั่งไล่นิ้วหาดูว่าห้องไหนกำลังถกเถียงหัวข้อน่าสนใจที่น่ากดเข้าไปฟังบ้าง

จนถึงวันนี้ผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ Android ก็มีวิธีซิกแซ็กให้สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคลับนี้ด้วยแล้วทำให้จำนวนผู้ใช้งาน Clubhouse ในไทยเพิ่มขึ้นเยอะมาก

อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าตอนนี้ประเด็นที่คนพูดถึงและตั้งคำถามขึ้นมามากไม่แพ้กันก็คือ Clubhouse กำลังเสื่อมความนิยมแล้วใช่ไหม

 

จากการสังเกตการณ์ของฉันเองซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่ใช่การสังเกตการณ์ที่ต้องลงไปนั่งกางสถิติที่ละเอียดซับซ้อนอะไร

เพราะแค่เห็นด้วยตาเปล่าก็ชัดเจนแล้วว่าผู้ใช้งาน Clubhouse ในไทย ในแบบที่แอ็กทีฟมากๆ นั้นลดหายไปไม่น้อย

ถ้าลองเทียบปริมาณผู้ฟังจากการจัดห้องในแต่ละครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ตอนที่ฉันเปิดห้องของตัวเองขึ้นมาเพื่อถกเถียงหัวข้อต่างๆ มีคนกดเข้ามาฟังสูงสุดมากถึง 3 พันกว่าคนแม้จะเป็นเวลาดึกดื่นเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ตาม

แต่ในตอนนี้ช่วงเวลาเดียวกันจำนวนผู้ฟังลดลงไปเกือบครึ่ง เช่นเดียวกับห้องอื่นๆ ที่จัดในเวลาไล่เลี่ยกัน

ฉันคิดว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้มาก่อน

Clubhouse เป็นโซเชียลมีเดียในรูปแบบที่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน และไม่ได้เหมาะกับทุกช่วงเวลา

ผ่านไปเดือนกว่า ตอนนี้ผู้ใช้งานที่เข้ามาเพราะเห็นว่าเป็นกระแสที่พลาดไม่ได้แล้วพบว่าธรรมชาติของแอพพ์ไม่ได้เหมาะกับความชอบของตัวเองก็ค่อยๆ หายไป

บางคนอาจจะคลิกเข้ามาในแอพพ์น้อยลง

ในขณะที่บางคนก็อาจจะลืมแอพพ์นี้ไปแล้วก็ได้

 

ส่วนตัวฉันเอง เสน่ห์ของ Clubhouse ที่ดึงดูดให้ฉันยังอยู่กับแพลตฟอร์มก็คือการที่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้มือหรือตาในการเสพคอนเทนต์จากแอพพ์นี้

ฉันสามารถกดเข้าไปในห้อง วางโทรศัพท์ลง และคว้าคอนโทรลเลอร์มานั่งเล่นเกม รีดผ้า หรือทำทรีตเมนต์หน้าไปด้วยได้

ที่ผ่านมาคอนเทนต์ที่ฉันเลือกฟังอยู่เสมอก็คือหนังสือเสียงบนแอพพ์ Audible ที่จะมีเสียงคนมาอ่านหนังสือให้เราฟัง เมื่อฉันชินกับการฟังคอนเทนต์แบบนี้แล้ว Clubhouse ก็เลยเป็นแอพพ์ที่ฉันชอบได้เลยทันที

แถมมีข้อดีที่หนังสือเสียงไม่มีก็คือมีการสนทนาโต้ตอบ มีความเป็นสังคม ชุมชน และทำให้เรามีส่วนร่วมด้วยได้ ซึ่งฉันก็เชื่อว่าหลายๆ คนคิดแบบนี้เหมือนกัน

ถ้าเช่นนั้นแล้ว หากไม่นับกลุ่มคนที่ไม่ได้ชื่นชอบการฟังคอนเทนต์ตั้งแต่แรก ผู้ใช้งานคนอื่นๆ หายไปไหน แม้กระทั่งเพื่อนที่ฉันรู้จักดีว่าลุ่มหลงการฟังคอนเทนต์อย่าง Podcasts มาโดยตลอดก็แทบจะไม่ได้ย่างกรายเข้ามาใน Clubhouse แล้ว

อะไรทำให้คนเหล่านี้เริ่มห่างหายจากแพลตฟอร์มไปล่ะ

 

ในฐานะผู้ฟัง ฉันพบว่าความท้าทายของการอยู่บนแพลตฟอร์มที่ใช้เสียงเป็นหลักก็คือการใช้เสียงนี่แหละ

เราเคยชินกับการเล่าเรื่องบนโซเชียลมีเดียด้วยการใช้ตัวหนังสือหรือภาพซึ่งเป็นทักษะที่คนส่วนใหญ่ทำได้ง่ายๆ เรามีเวลาในการเรียบเรียงและคัดกรองข้อความของเราก่อนที่จะปล่อยออกไปทำให้ไม่ได้มีอุปสรรคในการสื่อสารมากนัก

ในขณะที่การใช้เสียงแม้จะฟังดูเหมือนไม่ได้ยากอะไร แต่เอาเข้าจริงๆ มันมีรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก

หากว่ากันที่ธรรมชาติของการเป็นคอนเทนต์ประเภทถ่ายทอดสด ถ้าลองเปรียบเทียบระหว่าง Clubhouse กับการถ่ายทอดสดอย่างการทำ Facebook Live จะพบว่าถึงทั้งสองอย่างจะสดเหมือนกัน แต่ลักษณะกลับไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

เวลาที่เราดูการถ่ายทอดสด แม้ว่าผู้พูดจะพูดไม่เก่งสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะมองข้ามข้อจำกัดนั้นเพราะสายตาของเราก็ยังจับจ้องไปที่รายละเอียดอื่นๆ ได้

เราอาจจะเลือกโฟกัสไปที่การแสดงออกทางสีหน้าของผู้พูด การเคลื่อนไหวมือของเขา

หรือเราอาจจะย้ายสายตาไปอยู่ที่คนข้างๆ เขา ไปจนถึงสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ที่พื้นหลัง

ในหนึ่งเฟรมมีองค์ประกอบอื่นอีกเยอะให้เราหันเหความสนใจไปหาแม้ว่าผู้พูดหลักจะไม่ดึงดูดเราได้สักเท่าไหร่

กลับกัน บน Clubhouse สิ่งที่เชื่อมระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังมีเพียงแค่เสียงเท่านั้น ไม่มีวิดีโอ ไม่มีภาพนิ่ง ไม่มีตัวอักษรให้เสริมการสื่อสารให้สมบูรณ์ขึ้นได้

ดังนั้น ความสำคัญของการใช้เสียงจึงมาก่อน

ในบางกรณีก็มาก่อนความน่าสนใจของเนื้อหาด้วยซ้ำ

 

ฉันได้ยินหลายๆ คนบ่นว่ากดเข้าไปฟังห้องใดห้องหนึ่งใน Clubhouse เพราะชื่อห้องน่าสนใจมาก แต่พอได้ยินเสียงของหนึ่งในวิทยากรที่กำลังพูดแล้วรู้สึก “ไม่ถูกชะตา” ขึ้นมาทันที จนต้องกดออกจากห้องไปทั้งที่ยังไม่ทันได้ฟังเนื้อหาที่เขากำลังถกเถียงกันอยู่ด้วยซ้ำ

หรือบางคนเลือกที่จะฟังถึงแค่ช่วงที่วิทยากรพูดจบ แต่พอเปิดให้ผู้ฟังในห้องยกมือถามคำถาม ก็จะเป็นช่วงเวลาที่จะกดออกจากห้อง

เมื่อถามต่อว่าเพราะอะไร

คำตอบที่ได้ก็คือการเปิดฟลอร์ให้ผู้ฟังได้ขึ้นมาพูดบ้างนั้นมาพร้อมความเสี่ยงที่จะเจอคนที่พูดไม่เก่ง อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ตรงประเด็น ไปจนถึงวิธีการพูดไม่น่าฟัง

จนทำให้พาลหมดอารมณ์ฟังไปเลยก็มี

 

ย้อนกลับมาที่แอพพ์อ่านหนังสือเสียงอย่าง Audible ข้อเสียคือไม่มีบทสนทนาและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยไม่ได้

แต่ข้อดีคือนักอ่านทุกคนเป็นนักใช้เสียงมืออาชีพ และเสียงนั้นผ่านกระบวนการตัดต่อมาแล้วทำให้เราฟังเนื้อหาต่อไปได้นานๆ แบบไม่มีสะดุด

ทักษะการพูดให้น่าฟัง การใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม หรือการเรียบเรียงประเด็นได้เฉียบขาดไม่ใช่ทักษะที่มีพร้อมอยู่ในตัวทุกคน

แต่เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝน ก็เลยอาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การสร้างคอนเทนต์บน Clubhouse ที่จะเชิญชวนให้คนกดเข้ามาฟังได้ค่อนข้างจำกัดให้อยู่ในกลุ่มคนที่ฝึกฝนทักษะเหล่านี้มาเฉียบคมแล้ว

ดังนั้น เวลากดเข้าไปใน Clubhouse ก็จะเห็นกลุ่มผู้พูดเดิมๆ อยู่ในห้องหัวข้อเดิมๆ จึงอาจจะเกิดความจำเจในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่านี่เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่อาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับการฟังคอนเทนต์ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และการมาถึงของ Clubhouse นี่แหละเป็นโอกาสอันดีมากๆ ที่จะช่วยให้เราได้ฝึกฝนทักษะการฟังและการพูดให้เฉียบคมขึ้น

Clubhouse เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราสามารถฝึกการเรียบเรียงตัวเองและการพูดในที่สาธารณะได้แม้ว่าตัวเราจะนั่งอยู่ที่บ้าน และฉันก็เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปอีกสักหน่อย ผู้ใช้ Clubhouse ที่ตั้งใจใช้มันเป็นเครื่องมือในการฝึกจะมีทักษะในการพูดที่เก่งกาจขึ้น

ทิ้งท้ายด้วยไทม์มิ่งที่เหมาะสมมากของการมาถึงของ Clubhouse ในไทย คือการได้เป็นแพลตฟอร์มให้คนสามารถถกเถียงเกี่ยวกับการเมืองได้อย่างอิสระ (เท่าที่รู้)

ฉันคิดว่าในห้องที่คุยกันเรื่องการเมือง ข้อจำกัดของการพูดไม่เก่งถูกลดความสำคัญลงไปโดยสิ้นเชิงเพราะทุกคนมีอุดมการณ์ร่วมกันและจุดมุ่งหมายสำคัญไม่ใช่การเข้ามาฟังเพื่อความบันเทิงแต่เป็นการรวมตัวกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้เกิดขึ้น

น่าสนใจว่าภายในแค่เดือนเดียว Clubhouse ยังมีไดนามิกได้ขนาดนี้ แล้วอีก 3 หรือ 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป