ชะตากรรมชาวอุยกูร์ กำลังยกระดับจากล่วงละเมิด สู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์? / รายงานพิเศษ

ชะตากรรมชาวอุยกูร์

กำลังยกระดับจากล่วงละเมิด

สู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์?

 

เมื่อปีที่ผ่านมา ประเด็นการละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์กว่าล้านคน ถูกผลักดันออกจากมณฑลซินเจียงไปเป็นแรงงานบังคับตามโรงงานในพื้นที่ต่างๆ ของจีน ซึ่งถูกเปิดเผยโดยองค์กรด้านนโยบายของออสเตรเลียจนนำไปสู่การกดดันให้บริษัททั้งจีนและต่างชาติที่ตั้งโรงงานในจีนออกมาชี้แจง ซึ่งหลายบริษัทแสดงจุดยืนไม่ได้ใช้ชาวอุยกูร์เป็นแรงงานบังคับ พร้อมกับรับประกันในการทำธุรกิจที่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ตาม การให้ชาวอุยกูร์เป็นแรงงานบังคับหรือการล่วงละเมิดสิทธิต่างๆ เป็นเรื่องที่จีนออกมายืนกรานปฏิเสธเรื่องนี้พร้อมกับโจมตีว่าเป็นแผนสมรู้ร่วมคิดของต่างชาติเพื่อดิสเครดิตจีน และย้ำเรื่องปัญหาชาวอุยกูร์เป็นเรื่องภายในของจีนและนานาประเทศไม่ควรมาแทรกแซง

แต่กระนั้น จีนจะพยายามเบี่ยงเบนประเด็นแค่ไหน หลายชาติกลับไม่ได้คล้อยตามกับสิ่งที่จีนพยายามโน้มน้าว

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ประเด็นเรื่องละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์ ซึ่งเริ่มแรกถูกเรียกร้องผ่านชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ องค์สิทธิมนุษยชนหลายกลุ่ม จนกระทั่งขยายตัวไปสู่กลุ่มธุรกิจและรัฐบาล

แต่ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาเนเธอร์แลนด์ได้มีมติให้เรียกสิ่งที่ชาวมุสลิมอุยกูร์ถูกปฏิบัติอยู่ในมณฑลซินเจียงในจีนว่าเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

นอกจากในแง่ความหมายของการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ว่าจะเป็นการส่งไปค่ายกักกัน การไม่ให้สิทธิเสรีภาพโดยเฉพาะทางศาสนา การถูกใช้เป็นแรงงานบังคับ ยังมีความกังวลอย่างหนักถึงความเกี่ยวข้องที่มีการ “คุมกำเนิด” ประชากรชาวอุยกูร์ และการมีค่ายทรมานลงโทษ

เนเธอร์แลนด์ถือเป็นชาติที่ 3 ตามหลังแคนาดาและสหรัฐ ซึ่งรัฐสภาแคนาดาได้ประกาศเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

การแสดงจุดยืนเรื่องสิทธิมนุษยชนในระดับรัฐสภา ถือได้ว่าสถานการณ์นั้นเป็นห่วงอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวมีความเป็นไปได้ หรือเป็นแค่ข้อกล่าวหาเลื่อนลอย?

 

อัลจาซีร่าได้ออกรายงานพิเศษเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอ้างผลการศึกษาจากสถาบันนิวไลน์เพื่อยุทธศาสตร์และนโยบายของสหรัฐ ระบุถึงหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า นโยบายและการปฏิบัติของจีนต่อชาวอุยกูร์ถือเป็นการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

ในรายงานว่า จีนได้กระทำต่อชาวอุยกูร์ในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดล้วนขัดต่ออนุสัญญาองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 1948

รายงานของนิวไลน์ย้ำว่า มีหลักฐานอันน่าเชื่อถือและเชื่อได้ว่า จีนต้องรับผิดชอบการกระทำ 5 รูปแบบที่ถูกกำหนดว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

โดยการกระทำเหล่านี้ได้แก่ การฆ่าล้างสมาชิกกลุ่ม การทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

จงใจสร้างเงื่อนไขกับชีวิตซึ่งส่งผลทำให้เกิดการทำลายกลุ่มคนทั้งหมดหรือบางส่วน

การใช้มาตรการทำหมันหมู่เพื่อขัดขวางยับยั้งการกำเนิดและการบังคับโยกย้ายเด็กชาวอุยกูร์ไปอยู่อีกกลุ่มเพื่อมุ่งชะล้างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์

ไม่นับรวมถึงการลงโทษผู้นำชาวอุยกูร์หลายคนทั้งถูกประหารชีวิตหรือถูกจำคุกตลอดชีวิต

หรือในปี 2019 ที่มีการเปิดเผยว่า รัฐบาลจีนวางแผนให้สตรีชาวอุยกูร์วัยเจริญพันธุ์อย่างน้อยร้อยละ 80 ถูกทำหมันหรือใส่ห่วงอนามัย โดยอ้างแนวทางการคุมกำเนิดประชากรที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น

อาจหมายถึงระหว่างปี 2558-2561 อัตราการเติบโตของชาวอุยกูร์ในซินเจียงลดลง 84 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ยังมีรายงานการทารุณกรรมผู้หญิงชาวอุยกูร์ โดยหนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลจีนได้ใช้การทารุณกรรมทางเพศมาข่มเหงชาวอุยกูร์ โดยชายชาวจีนซึ่งมาโดยสวมหน้ากากและชุดสูท ได้เลือกกลุ่มผู้หญิงและทำการข่มขืนพวกเธอในห้องมืด ส่วนเธอถูกทรมานและถูกรุมข่มขืนโดยกลุ่มผู้ชาย 2-3 คน

จนเธอสามารถหลบหนีเข้าไปยังคาซัคสถานและลี้ภัยมาถึงสหรัฐ

 

ขณะที่ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ กล่าวว่า มีการพบว่าประชากรชาวอุยกูร์ราว 60% ที่ถูกจับในมณฑลซินเจียง ถูกตั้งข้อหาและถูกคุมขังโดยที่พวกเขาไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขากระทำความผิด

มายา หวัง นักวิจัยอาวุโสด้านจีนของฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ระบุว่า ทั้งๆ ที่จีนมีระบบกฎหมาย แต่หลายคนที่อยู่ในเรือนจำ ต่างเป็นคนธรรมดาที่ถูกตั้งข้อหาเพียงเพราะใช้ชีวิตและปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามของพวกเขา

ทั้งนี้ โจ ไบเดน หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐไม่นานก็ได้ประกาศนโยบายต่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากประเด็นอเล็กเซย์ นาวัลนี นักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลรัสเซียแล้ว ประธานาธิบดีไบเดนยังส่งสัญญาณถึงปัญหาละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์ว่า สหรัฐเฝ้าติดตามอย่างจริงจัง

เมื่อธุรกิจตามดำเนินแนวทางของไบเดนนั้นหมายถึงแรงกดดันที่ทำให้จีนจะต้องแสดงบทบาทจริงจังว่า

การเลือกปฏิบัติหรือละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์จะต้องยุติลง