2503 สงครามลับ สงครามลาว (21) นามข้า “พารู” พารูเดนตาย / บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (21)

 

นามข้า “พารู”

พารูเดนตาย

พล.ต.ต.นคร ศรีวณิช บันทึกการปฏิบัติงานของพารูเจิดจำรัส จิตการุณราษฎร์ ระหว่างปฏิบัติงานร่วมกับทหารม้งของวังเปาในช่วงเริ่มสงครามลับในลาวต่อไป

“เจิดมองหน้ายุวะลี เห็นหูแหว่ง เลือดออกมากก็สะกิดบอก ‘ลื้อถูกยิงหู’ นายทหารแม้วเอามือลูบหูแล้วดูเลือดที่มือ สบตาเจิด หัวเราะหึๆ ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านให้เห็น

ตั้งแต่เช้ายันเที่ยง พวกเราทุกคนสู้อย่างถวายหัว เพราะแน่ใจว่าสู้ก็ตาย-ไม่สู้ก็ตาย

ภูมิประเทศฝ่ายเราได้เปรียบ มองลงไปเห็นทะลุปรุโปร่ง จึงเลือกยิงเอาได้ ขณะที่พวกเราตายไปแล้วเกือบสิบคน คะเนว่าฝ่ายเขาตายไม่ต่ำกว่าร้อย การต่อสู้ยิ่งนาน ข้าศึกยิ่งใกล้เข้ามา เจิดเดินตรวจดูฝ่ายเราไปรอบๆ ระเบิดทําให้เพลิงลุกไหม้โรงหลังคามุงแฝก ไฟลามถึงคอกหมู ลูกหมูถูกไฟไหม้ดิ้นชักตายไปต่อหน้า เข้าไปดูคลังอาวุธที่ไฟกําลังไหม้ เห็นมีกระสุนปืน ป.ร.ส.เหลืออยู่หลายนัด ตั้งใจจะนําออกมาใช้ เดินออกจากโรงเก็บได้ไม่ถึงอึดใจ ก็ระเบิดตูมตามหลัง

ถ้าดวงไม่ดีจริง

ชั่วประเดี๋ยวเดียว เจิดตายไปแล้วสามหน…”

สถานการณ์คับขันยิ่งขึ้น พารูสูญเสียเป็นคนแรก

“ยิ่งนานข้าศึกยิ่งรุกใกล้เข้ามา เจิดรู้สึกว่าสุภาพ-พนักงานวิทยุของเราเงียบหายไปนานจึงคลานไปดู เห็นหน้าของสุภาพฟุบลงไปทับวิทยุก็เรียก ‘ภาพ…ภาพ…’ พร้อมกับจับคอเสื้อหงายขึ้นดูหน้า เห็นรูกระสุนเจาะตรงกลางหน้าผากสิ้นใจไปแล้ว นั่นหมายความว่าสุภาพทําหน้าที่อยู่จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย

เวลานั้นทุกคนแน่ใจแล้วว่าถอยก็ต้องตาย จึงตะโกนปลุกใจให้สู้สุดชีวิต

เกือบๆ 4 โมงเย็น บางส่วนของข้าศึกรุกเข้ามาอยู่ห่างจากเราไม่เกิน 60 หลา ปาระเบิดที่มีด้ามเสียงดังวู้บๆ วู้บๆ…โดยมากตกห่างพวกเรา ที่มาถึงก็ลงบนหลังคาสังกะสีแล้วกลิ้งลงไประเบิดข้างล่าง โดยฝ่ายเราไม่เสียหายมากนัก

เมื่อเจิดเห็นข้าศึกใกล้เข้ามามาก ก็สั่งติดดาบปลายปืนเตรียมตะลุมบอน…

ขณะสั่งการ สะเก็ดระเบิดโดนเจิดเข้าระหว่างปาก ปากฉีก เลือดไหล ฟันหน้าหักสองซี่ หน้ามืด เข่าอ่อนทรุดลง เป็นอยู่อย่างนั้นเพียงครู่เดียว ตาที่มืดพร่าก็สว่างขึ้น พอได้สติก็พูดกับประเสริฐที่อยู่ใกล้ๆ

‘ผมถูกยิง ดูซิทะลุท้ายทอยหรือเปล่า?’…”

 

ค่ายแตก

“มีอยู่ระยะหนึ่ง เสียงปืนของข้าศึกนิ่งเงียบไปทุกด้าน ทําให้กําลังใจของเราดีขึ้น แต่ยุวะลีบอกว่ามันไม่ไปไหนหรอก ต้องโจมตีเราอีก และจริงของเขา ชั่วประเดี๋ยวเดียวทุกด้านก็ส่งเสียง เฮ้…เฮ้..เฮ้… บุกเข้ามาพร้อมๆ กัน ยุวะลีบอกเจิด ‘กาปีตั้น (เจิดติดยศ ร.อ.ทหารลาว) เราสู้บ่ได้แล้วเน่อ’ ปรึกษากันเตรียมถอย เวลานั้นกว่าห้าโมงเย็น วงล้อมแคบเข้าทุกที ในที่สุดยุวะลีเข้ามาผลักเจิด ‘กาปีตั้นไปก่อนเถอะ ไป๊’

‘ลื้อไปก่อน’ เจิดบอกยุวะลีแล้วหันไปสั่งประเสริฐกับสนวนให้รีบออกวิ่งไปก่อน เจิดกับยุวะลีจะยิงคุ้มกันให้ สองคนนั้นวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว สนวนก็ถูกกระสุนล้มลง บิดตัวไปสองรอบแล้วพลิกหงาย ตัวงอ…ขาดใจตาย เวลาใกล้ๆ กัน ประเสริฐถูกยิงบริเวณท้องล้มลง และตายไปทันที

ทันใดนั้น ยุวะลีกระโดดเข้าจับแขนเจิดกระชาก ร้อง ‘ไป๊…ไปพร้อมๆ กัน’ เจิดรู้ว่าขืนบ้าสู้ก็ตายแน่ แต่ถ้าวิ่งอาจมีทางรอด จึงออกวิ่งสุดฝีเท้า แล้วแยกกับยุวะลีไปคนละทาง วิ่งได้ไม่กี่ก้าว หันกลับไปมองยุวะลีเห็นดิ้นพราดๆ จะวิ่งไปช่วยก็ไกลกันมาก จึงตัดสินใจวิ่งต่อมาสุดฝีเท้าจนทันทหารแม้วคนหนึ่งเป็นบุรุษพยาบาล

วิ่งยังไม่ทันพ้นวงล้อม เจ็บแปลบที่ปลายเท้าขวา แต่ยังกัดฟันวิ่งต่อ ภูมิประเทศตรงนั้นเริ่มมีต้นไม้ใหญ่บ้างแล้ว วิ่งเลี้ยวไปเลี้ยวมาไม่ให้เป็นเป้านิ่ง บางครั้งให้ต้นไม้บังกระสุน ได้ยินเสียงกระสุนตามหลังมาใกล้ๆ

พอถึงริมห้วยพบหมอแม้วถูกยิงบริเวณขาและหน้าอกร้องขอความช่วยเหลือ ‘กะปิตั้น อย่าทิ้งข้าน้อยเน้อ…’ แต่เจิดเห็นว่าไม่มีทางรอดชีวิต จึงวิ่งต่อ

การเจ็บปวดยังไม่รู้สึก ความรักชีวิตมีมากกว่า

วิ่งไปพบทหารข่าสองคน จากนั้นก็วิ่งตามกันจนถึงลําน้ำ ตอนนี้นึกสบายใจขึ้นบ้างเพราะกําลังจะมืด เข้าใจว่าข้าศึกคงไม่ตาม จนกระทั่งทหารข่าสองคนปีนรากไม้ขึ้นฝั่งตรงกันข้ามไปแล้ว

เจิดใช้มือซ้ายชูปืนการ์แลนขึ้นเหนือหัวกันไม่ให้โดนน้ำ มือขวาจับรากไม้เพื่อดึงตัวขึ้นฝั่ง ได้ยินเสียงตะโกน ‘ยุดหน่า ยาแล่นหน่า…’ เจิดไม่ฟังเสียง ทิ้งปืนลงน้ำ สองมือจับรากไม้ดึงตัวขึ้นฝั่งพร้อมๆ กับได้ยินเสียงปืนทอมสันรัวกระสุนเฉียดไปทั้งขวา-ซ้าย กิ่งไม้เล็กๆ ข้างตัวถูกกระสุนขาดพับลงเป็นแถบๆ รีบโกยสี่ตีนหมาตามข่าทั้งสองไปจนถึงดงหญ้าคาสูงท่วมหัว ยังมีเสียงปืนยิงไล่หลัง จะวิ่งตามทหารข่าก็ไม่ทัน เขาวิ่งเร็วกว่า จึงวกออกไปทางซ้าย เป็นอันว่าแยกจากทหารข่าเหลือตัวคนเดียว ได้ยินเสียงปืนตามไล่ยิงสองคนนั้นไป เชื่อว่าตัวปลอดภัยแน่ เพราะไม่มีวี่แววใครตามมา

แยกทางจากข่าไม่นานก็พบขอนไม้ใหญ่ ข้ามขอนไม้แล้วรู้สึกหมดแรง นอนลงโดยใช้ขอนไม้เป็นที่กําบัง ตั้งใจว่าถ้าข้าศึกตามมาพบจะใช้ปืนออโตแมติก .45 ที่ยังติดตัวอยู่ยิงมันให้ตายอย่างน้อยสองสามคน ถ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ยอมให้จับเป็น เพราะรู้ว่าต้องถูกทรมานจนตาย จะขอเหลือกระสุนนัดสุดท้ายไว้สําหรับตัวเอง

ได้ยินเสียงพวกมันตะโกนไกลๆ คาดว่ามีประมาณสิบคน เวลานั้นมืดสนิทแล้ว ใจชื้นขึ้น

นอนหลับเป็นตายตื่นสี่ทุ่มกว่า สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดทําให้ออกเดินทั้งๆ ที่มืด อาศัยดาวเป็นเครื่องบอกทิศทาง จนเกือบสองยามได้ยินเสียงน้ำไหล ลงจากเขาไปกินน้ำแล้วเอนหลังพิงเนินดินหลับอีก ตื่นขึ้นตีสอง ออกเดินจนสว่าง ได้ยินเสียงปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 50 ม.ม. ปุๆ ปุๆ ไกลมาก

วิ่งบ้างเดินบ้างจน 7 โมงเช้าเริ่มกระหายน้ำ เที่ยวหาแหล่งน้ำจนพบห้วยเล็กๆ ใช้มือวักน้ำกิน เห็นเครื่องบิน ซี 47 ของเราบินผ่าน วันนั้นเป็นวันทิ้งอาหารให้ที่ฐาน

เครื่องบินผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็บินกลับ เข้าใจว่าฝ่ายเรารู้เรื่องฐานแตกแล้วเพราะอย่างน้อยก็เห็นควันไฟแต่ไกล เครื่องบินผ่านไปไม่ห่างจากที่เจิดเดินนัก แต่ไม่กล้าส่งสัญญาณเพราะเกรงว่าถ้าข้าศึกเห็นเครื่องบินบินวนก็จะตามมาอีก”

 

หนีต่อไป…

“วันนั้นเดินบนเขาหัวโล้นเกือบทั้งวัน แดดจัด เหงื่อหยดติ๋งๆ พอเริ่มปวดระบมที่ปาก อก และเท้า ก็หยุดพัก พักเพียง 30 นาทีจะออกเดินทางต่อ ก้าวขาแทบไม่ได้ ต้องตัดสินใจเดินจนค่ำ

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง เดินจนบ่ายสองโมง ถึงหมู่บ้านแม้ว ลักษณะว่ามีคนอยู่ แต่ตอนนั้นหายไปหมด รีบตรงไปที่เตาไฟเพื่อหาอาหารกิน ไม่มีอะไรพอกินได้ มีแต่ข้าวโพดที่เขาเก็บไว้ทําพันธุ์ เม็ดแห้งแข็งเคี้ยวไม่ออก เห็นลูกหมูวิ่งไปวิ่งมาใกล้ๆ เล้า อยากจะกินแต่จับไม่ไหวเพราะหมดแรง ดึงปืนยูเอสออกจากสะเอว โคลนเต็ม ใจเย็นทําความสะอาดปืนก่อน แล้วยิงอย่างประณีต นัดเดียวลูกหมูล้มกลิ้ง จัดการก่อไฟย่างลูกหมู เมื่อเห็นว่าสุกดีแล้วก็ฉีกกิน

…พอเนื้อหมูตกลงถึงท้องก็อาเจียนต้องเลิกกิน”