หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๘๖) /ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๘๖)

 

เหตุการณ์สำคัญที่สุดในโลกนี้สองเหตุการณ์ ล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ ได้แก่

๑ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

๒ สงครามโลกครั้งที่สอง

มันเป็นมหากาพย์แห่งชีวิต ที่เขียนด้วยชีวิตคนหลายร้อยล้าน และทรัพย์สินมากมายมหาศาล

มันเป็นการลงทุนที่ใหญ่สุด หากเปรียบเป็นหนัง นี่เป็นหนังใหญ่สุด ลงทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ และก็สร้างได้ดีเหลือเกิน ฉากแล้วฉากเล่า ได้กลายเป็นคลาสสิค

มันเป็นที่สุดแห่งความชั่วร้าย และความดี จึงกลายเป็นอมตะ

 

สงครามโลกครั้งที่หนี่ง มีฉายาว่า สงครามที่จบทุกสงคราม ซึ่งไม่จริง เพราะหลังจากมันแล้ว สงครามก็ยังมีอยู่ ไม่สิ้นสุด แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่จริง คือมันเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ที่สงครามเคยถูกมองว่าเป็นสิ่งทันสมัย เพราะหลังจากนั้น สงครามใดๆ ล้วนไม่ทันสมัย ล้วนเกิดจากความจำเป็น จำใจ ทุกวันนี้สงครามไม่ใช่สิ่งทันสมัยอีกแล้ว

กว่ามนุษย์จะรู้สึกตัวว่าสงครามเป็นความชั่วร้าย ก็ต้องมาถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

แต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามเป็นสิ่งที่เย้ายวน เป็นแฟชั่น ผู้คนไม่ได้หวาดกลัวมัน สมกับที่ควรเลย เพราะอะไรหนอ นี้เป็นความน่าพิศวง

ตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผู้คนโห่ร้องด้วยความดีใจ หนุ่มๆ มากมายรู้สึกตื่นเต้น เหมือนกำลังจะไปเที่ยว ไปผจญภัยครั้งใหม่ บางคนสมัครเป็นทหาร แล้วกังวลใจว่า จะไปไม่ทันสงครามนี้ กลัวว่า กว่าจะไปถึงสนามรบ สงครามจะจบก่อน เพราะคนส่วนใหญ่คาดเดาว่า สงครามจะจบลงในเวลาไม่ถึงเดือน

แต่ทว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รบกันนานสี่ปีกว่า เริ่มจากวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๑๙๑๔ และสิ้นสุดในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๑๙๑๘ มีทหารเสียชีวิต ๙ ล้านกว่าคน บาดเจ็บ ๒๑ ล้านกว่าคน และมีพลเรือนเสียชีวิตอีก ๗ ล้านกว่าคน

มันเป็นสงครามที่โหดร้าย โง่เขลาอย่างสุดประมาณ

สิ่งที่ได้ คือทำให้มนุษย์รู้ว่าสงครามกลายเป็นสิ่งเชยเหลือเกิน

แต่สงครามก็ยังมีอยู่

ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามยังมีความงามอร่าม มีความเป็นตำนาน หลายครั้งก็ยังเป็นการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น น่าสนุก ไม่ว่าจะเป็นสงครามนโปเลียน สงครามของอเล็กซานเดอร์ สงครามครูเสด สงครามของชาวกรีกและโรมัน หรืออื่นใด

แน่ละ ที่จริงทุกสงครามมีความโหดร้าย ความโง่เขลาแฝงอยู่ แต่มันยังไม่แสดงตัวโจ่งแจ้ง ล่อนจ้อน เหมือนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก่อนหน้านี้ มันจึงเป็นเหมือนสิบแปดมงกุฎที่ยังหลอกชาวโลกได้

แต่หลังจากสงครามโลกครั้งหนึ่ง มันถูกเปิดหน้ากากออกมาอย่างหมดจด

 

หนังภาคหนึ่งนี้สร้างได้ดีเหลือเกิน ชนะสิบรางวัลออสการ์ แต่ทำไมยังมีภาคสอง ที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า หรืออาจจะเหนือกว่าเสียอีก ยังชนะอีกสิบสองรางวัลออสการ์ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

สงครามโลกครั้งที่สอง เกือบไม่มีอะไรใหม่มาสอนมนุษย์ เพราะมนุษย์รู้หมดแล้ว ว่าสงครามชั่วร้ายปานไหน ไร้สาระปานไหน แต่ทำไมก็ยังเหมือนเรียนรู้ไม่หมดอยู่อีก

สงครามโลกครั้งที่สอง รบกันอยู่นานหกปีกับอีกหนึ่งวัน เริ่มจากวันที่ ๑ กันยายน ๑๙๓๙ สิ้นสุดวันที่ ๒ กันยายน ๑๙๔๕ ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนใหญ่จะรบกันเฉพาะในยุโรป แต่สงครามโลกครั้งที่สองนี้ เวทีกว้างใหญ่กว่ามาก รบกันถึง ๓๐ ประเทศ สู้กันทั้งในอากาศ บนบก และในน้ำ มันเป็นหนังที่สร้างใหญ่กว่า มโหฬารยิ่งกว่า

คุณคิดว่าคุณเคยเห็นที่สุดมาแล้ว ก็เหมือนจะยังไม่เคยเห็น มีทหารเสียชีวิต ๒๔ ล้านกว่าคน มีพลเรือนเสียชีวิตร่วม ๕๐ ล้านคน ในนั้น ส่วนใหญ่คือพลเรือนจากรัสเซีย จากจีน และชาวยิว

บทเพลงที่ซ้อนอยู่ในนั้น หรือจะเรียกว่า เป็นภควัทคีตาในมหากาพย์ภารตะ ที่เป็นงานซ้อนงาน สำหรับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง บทเพลงภควัทคีตา คือโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีคนเสียชีวิตเกือบห้าสิบล้านคน

ส่วนสงครามโลกครั้งที่สอง ก็มีเช่นกัน บทเพลงภควัทคีตาคือสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ การกวาดต้อนชาวยิวกว่าห้าล้านคนเข้าห้องแก๊ส ความตายของพวกเขา มันช่างเหมือนบทเพลงภควัทคีตา ที่ดังกังวาลไม่รู้จบ

ที่จริง ไม่น่าจะมีสงครามใดอีกแล้ว จะเสมอเหมือนสองเหตุการณ์นี้ ด้วยเปรียบไปนี้คืองานวรรณกรรมสุดยอดของโลกสองชิ้น แต่เราก็ไม่รู้ได้ ด้วยโลกนี้เป็นอนิจจัง ในที่สุด สิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ยังอาจมีสงครามใหญ่เสมอเหมือน หรือใหญ่กว่า โหดร้ายยิ่งกว่า สูญเสียหนักกว่า มันอาจเกิดขึ้นได้ ถึงมนุษย์รู้แล้ว ก็ต้องเรียนซ้ำอีก ไม่ยอมจบ

ความแปลกของมนุษย์ คือมนุษย์จะเรียนซ้ำๆ เหมือนคนป่วยเป็นอัลไซเมอร์

แต่อย่างน้อย สงครามเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์กระตือรือร้น วิ่งเข้าไปหาด้วยความเบิกบาน ดีใจอีกแล้ว หมดยุคนั้นไปแล้ว ยุคแห่งความไร้เดียงสา

 

ฉันไม่รู้จริงๆ ว่า เหตุการณ์ในฮ่องกงทุกวันนี้จะจบยังไง เพราะมันเป็นเหตุการณ์ เราไม่อาจรู้ตอนจบ ไม่มีใครรู้ ด้วยมันพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน

แต่เราอาจประเมินได้ ว่ามีสองความเป็นไปได้สุดโต่ง กล่าวคือ

หนึ่งความเป็นไปได้ กลุ่มคนในฮ่องกงจะค่อยๆ พัฒนาการต่อสู้ของพวกเขาขึ้นไปเรื่อยๆ จากสิ้นหวัง กลายเป็นมีหวัง จากรบไม่เป็น ต่อสู้ไม่เป็น กลายเป็นขบวนการนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ จากเล็ก กลายเป็นใหญ่ จากไม่รู้เรื่อง เหมือนได้ผ่านสนามทดสอบ จนแข็งแกร่ง ในที่สุด พวกเขานั่นเอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเสื่อมสลายของอาณาจักรคอมมิวนิสต์ มันจะทำให้คอมมิวนิสต์ทั้งชาติล่มสลาย แน่ละ สิ่งเหล่านี้ต้องกินเวลา แต่แม้จะนานถึงสามสิบปี แต่ต้นกำเนิดของมันก็มาจากเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ฉันจำได้ว่า อาณาจักรกรีกอันยิ่งใหญ่ ก็ล่มสลาย เริ่มจากเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง

จีนพลาดเพราะความประมาท ด้วยคาดไม่ถึง ปล่อยให้ขบวนการเหล่านั้นเติบโต จนในที่สุด ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฝังลึกลงไปเรื่อยๆ เหมือนเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ที่ลงลึกเกินกว่าจะเยียวยาได้ มันเข้ากระดูกเสียแล้ว

หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ หมายถึง ในที่สุด ชาวฮ่องกงก็หมดความหมายไปทีละน้อย อาจต้องใช้เวลานานสามสิบปี

ซึ่งถึงวันนั้น เมืองนี้ก็จะกลายเป็นแค่เมืองเล็กๆ ที่ไม่มีความหมายอะไร ส่วนชาติจีนก็ยิ่งใหญ่ต่อไป เดินหน้าอย่างไม่แยแส ด้วยพวกเขาใหญ่เกินกว่าสิ่งเล็กๆ เหล่านี้จะไปกระทบพวกเขาได้

ในวันนั้น นครที่ยิ่งใหญ่ของจีน ที่ใหญ่เท่าหรือใหญ่กว่าฮ่องกง มีเป็นร้อย

ในสายตาชาวจีนส่วนใหญ่ ชาวฮ่องกงคือเด็กที่ถูกทำให้เสียคน เพราะร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ชาวจีนในเกาะฮ่องกงมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่แตกต่าง หากเทียบกับชาวจีนทั้งประเทศ ก็คือสบายกว่า

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็รอดพ้นจากการถูกทำลาย ถึงจะถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น แต่ก็ยังอยู่ในสภาวะเป็นกลาง ผิดกับเมืองเซี่ยงไฮ้ หรือนานกิง ที่ถูกทำลายย่อยยับ

พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากของจีนคอมมิวนิสต์ ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับชาวก๊กมินตั๋ง

โดยสรุปคือ พวกเขาอยู่รอดปลอดภัย และอยู่อย่างเคยตัว ทั้งที่ต้นกำเนิดของพวกเขา ก็คือดินแดนแห่งความอัปยศ ที่ถูกชาวอังกฤษปล้นไปอย่างหน้าด้าน ถูกบังคับให้ต้องยอมให้พวกเขาเช่าดินแดนนี้ไปเป็นเวลานานกว่าร้อยปี มันเป็นความอับอาย ความรันทดของชนชาติจีน ที่ต้องโดนข่มเหงรังแกจากชาติที่เจริญกว่า ช่างน่าอายเหลือเกิน และลูกหลานที่เกิดมาเหล่านั้น ก็ไม่มีความเป็นจีนหลงเหลืออยู่ กลับยกฝรั่งให้เป็นพ่อ

แต่ชาวฮ่องกงที่เป็นชนรุ่นหลังก็ไม่อาจสำนึกได้ พวกเขาถือตัวเองเป็นอีกชนชาติหนึ่ง และกระหายในเสรีภาพ แต่มันเป็นการมองคนละมุม ซึ่งฉันไม่อาจบอกได้ว่าใครถูกหรือผิด เพราะมันก็ถูกทั้งคู่ แต่มุมสองมุมนี้ต่างกันเหลือเกิน มันพิสูจน์สัจธรรมข้อหนึ่งว่า หนี่งประเทศ สองระบบ เป็นไปได้บนหน้ากระดาษเท่านั้น

แต่ในความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้