ย้อน 2 คดีโหดฝีมือ ตร. ส.ต.ท.อุ้มฆ่าเผานั่งยาง อีกเหตุ-บุกยิงแฟนดับ เซ่นสยองปมหึงโหด

อาชญา ข่าวสด

 

ย้อน 2 คดีโหดฝีมือ ตร.

ส.ต.ท.อุ้มฆ่าเผานั่งยาง

อีกเหตุ-บุกยิงแฟนดับ

เซ่นสยองปมหึงโหด

 

กลายเป็นโศกนาฏกรรม 2 เหตุการณ์ต่อเนื่อง สำหรับกรณีที่ ส.ต.ท.สุดโหด ลงมือฆ่าภรรยาตัวเองก่อนเอาศพไปเผานั่งยางแล้วเอาเถ้ากระดูกไปโปรยทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา

ส่วนอีกเหตุคือ ส.ต.อ.บุกไปยิงแฟนสา วอย่างอุกอาจถึงร้านกาแฟในปั๊มน้ำมันที่ จ.สุราษฎร์ธานี

แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุชู้สาวและหึงหวง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา เมื่อคนร้ายของคดีทั้งสองกลับเป็นตำรวจ ที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลทุกข์สุขของประชาชน

กลับกลายเป็นผู้ลงมือสังหารคนอื่น แถมเป็นคนใกล้ชิดที่รักใคร่ หนำซ้ำในอีกกรณีมีการนำศพไปเผา เอากระดูกโยนทิ้งน้ำ

ใช้ความรู้เรื่องอาชญาวิทยา ปกปิดความผิดของตัวเองอย่างชัดเจน

ไม่เพียงแค่นั้น ยังแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมไม่เกรงกลัวกฎหมาย

จนกลายเป็นการตั้งคำถามถึงการคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ ตลอดจนการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาว่ามีความเอาใจใส่มากน้อยเพียงใด

ถึงปล่อยปละละเลยให้กลายเป็นอันตรายต่อสังคมเช่นนี้ได้!??

ตะลึง ตร.ฆ่าเผาภรรยา

 

 

เหตุการณ์สลดเหตุการณ์แรก เป็นที่รับทราบในสังคมเมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จับกุมตัว ส.ต.ท.ปิยะ นาโควงษ์ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เหตุการลงมือฆ่าเผาอำพราง น.ส.ธัญญ์พิศา วิชนันนท์คุณนิธิ อายุ 40 ปี ภรรยา ที่ทุ่งนาริมถนนทางเข้าโรงเรียนวิเชียรกลิ่นสุคนธ์ ม.4 ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเนื่องจากมีเพื่อนของ น.ส.ธัญญ์พิศา เขาร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาของ ส.ต.ท.ปิยะ ระบุว่า เพื่อนสาวหายตัวไปติดต่อไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา และสงสัยว่า ส.ต.ท.ปิยะที่เป็นสามีจะมีส่วนเกี่ยวข้อง

โดย น.ส.ขนิษฐา เคร่งครัด อายุ 32 น้องของผู้ตาย ระบุว่า หลังจากที่พี่สาวหายไป ก็สงสัย ส.ต.ท.ปิยะ เพราะเมื่อถามว่าพี่สาวไปไหน ส.ต.ท.ปิยะบอกไม่ทราบ ไม่รู้หายไปไหน ทั้งที่ปกติเวลาจะไปไหน พี่สาวจะเอามือถือและรถยนต์ไปด้วยทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ของทุกอย่างอยู่ครบหมด

นอกจากนี้ ส.ต.ท.ปิยะเคยทะเลาะกับพี่สาวตนบ่อยครั้ง เคยลงบันทึกประจำวันไว้ แต่ก็พยายามมาไกล่เกลี่ย มีครั้งหนึ่งถึงขั้นใช้ปืนจ่อหัวจะยิง แต่พี่สาวขอร้อง จึงไม่ได้ลงมือ จริงๆ ไม่อยากเชื่อว่า ส.ต.ท.ปิยะที่เป็นถึงตำรวจจะใจร้ายถึงขั้นฆ่าคนตายได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้

เจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่ตรวจสอบ ก็ได้พยานปากเอกระบุว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม เวลาประมาณ 21.00 น. เห็นรถยนต์ตราโล่ สีเลือดหมู จอดอยู่ริมทุ่งนา ทางเข้าโรงเรียนวิเชียรกลิ่นสุคนธ์ แล้วก็เห็นไฟลุกอยู่จากทุ่งนา แต่ไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็เก็บความสงสัยไว้ว่าตำรวจจะมาเผาอะไรที่กลางทุ่งนาช่วงค่ำ

เจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่ตรวจสอบเก็บหลักฐานทันที พร้อมส่งเจ้าหน้าที่อีกชุดไปประกบตัว ส.ต.ท.ปิยะจากแฟลตตำรวจ เมื่อนำมาสอบสวนก็ยอมรับสารภาพทันที

ระบุว่า เมื่อคืนวันที่ 10 มีนาคม เวลาประมาณ 02.00 น. กลับที่พักที่แฟลตตำรวจ เกิดทะเลาะกับ น.ส.ธัญญ์พิศา ภรรยา จึงใช้หมอนกดไปที่หน้าจนสิ้นใจ จากนั้นนำศพใส่ถุงทะเลมาเก็บไว้ที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์ฝึกสุนัขตำรวจ ภายใน บก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา แล้วจึงนำศพขึ้นรถกระบะตราโล่ ไปเผาที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยใช้ยางรถยนต์จำนวน 2 เส้น

ส่วนกระดูกที่ยังเผาไหม้ไม่หมด ก็นำไปทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานอโยธยา ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

ขณะที่เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และซ่อนเร้นอำพรางศพ หรือย้ายศพ ส่วนกระดูกที่พบ จะส่งชันสูตรตรวจดีเอ็นเอกับนางภาวิณีย์ สุภศรี อายุ 64 ปี ซึ่งเป็นแม่ ว่าตรงกันหรือไม่อีกครั้ง เพื่อยืนยันชิ้นส่วนที่พบอีกครั้ง

อุ้มศพขึ้นรถตราโล่ไปนั่งยาง

 

สําหรับ ส.ต.ท.ปิยะ เป็นหน่วยปฎิบัติการพิเศษของ กก.สส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ผ่านการฝึกหน่วยสวาท มีความสามารถชำนาญในการใช้อาวุธปืนทุกชนิด คบหากับ น.ส.ธัญญ์พิศา ระยะหลังมีปากเสียงกันเรื่องหนี้สิน และทางฝ่ายหญิงจะตีตัวออกห่าง เป็นเหตุของการลงมือโหดครั้งนี้

ขณะที่ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 ระบุว่า ต้องกราบขอโทษญาติและสังคมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ผู้ต้องหากราบขอโทษต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตแล้ว ไม่เคยคิดว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะใช้ความรุนแรงขนาดนี้ เพราะตำรวจต้องมีสติ และเป็นผู้มีความคิดเป็นที่พึ่งของประชาชน ซึ่งเมื่อทำผิดเราก็ไม่เคยคิดปกป้อง

หลังทราบเรื่องการหายตัวไปของ น.ส.ธัญญ์พิศา เราก็ติดตามสอบสวนจนยอมรับ เร่งดำเนินการทำแผนทันทีเพื่อป้องกันการที่ผู้ต้องหาจะกลับคำรับสารภาพ ยืนยันว่ามีพยานหลักฐาน ทั้งภาพวงจรปิด ขอให้มั่นใจว่าตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ให้ความยุติธรรมทางครอบครัว

ทั้งนี้ทราบว่า ส.ต.อ.ปิยะกับผู้เสียชีวิตคบหากันมา 3 ปี ไม่มีลูกด้วยกัน ส่วนผู้เสียชีวิตมีลูกชายกับสามีเก่า อายุ 5 ขวบ ทราบเรื่องราวแล้วสงสารมาก ผู้ตายเป็นคนขยันค้าขาย เปิดร้านขายยำเล็กๆ ทางผมและผู้บังคับการจะขอรับผิดชอบดูแลเยียวยาครอบครัวของผู้เสียชีวิต จัดการเรื่องการทำศพให้ทั้งหมด พร้อมจะหาทุนการศึกษาให้กับลูกชายของผู้เสียชีวิต และกำชับให้ผู้บังคับบัญชาทุกท้องที่เพิ่มความใส่ใจดูแลความเป็นอยู่ปัญหาภายในครอบครัวตำรวจในสังกัด เพื่อหาทางร่วมกันให้คำแนะนำแก้ปัญหา

ส่วนสาเหตุเกิดจากความหึงหวง มีปากเสียงกันภายในบ้านพัก ส.ต.อ.ปิยะพลั้งมือหนักไปจับคว่ำหน้ากดกับที่นอน จนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต พอทราบว่าเสียชีวิตแล้ว จึงได้นำศพใส่ถุงทะเล นำขึ้นรถจักรยานยนต์ แล้วมาที่อาคารฝึกสุนัขดมกลิ่น ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา รอเวลาจนดึก นำศพขึ้นรถยนต์สายตรวจ ขนยางรถยนต์ 2 เส้น แวะซื้อน้ำมันที่ปั๊มน้ำมัน ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเผาศพไหม้ไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เอาชิ้นส่วนใส่ถุงอาหารสุนัข ทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วขับรถกลับมายังที่พัก จนญาติมาแจ้งคนหายแล้วตำรวจเกิดความสงสัยนำตัวมาสอบสวนรับสารภาพดังกล่าว

ส่วนแม่ผู้ตายแม้จะอโหสิให้ แต่ก็ขอให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ลงโทษตามกฎหมายขั้นสูงสุด

คืนความยุติธรรมให้ลูกสาวตัวเองด้วย

อีกคดี-ง้อโหดบุกยิงแฟนดับ

อีกเหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 14 มีนาคม โดย พ.ต.ท.ประพันธ์ หนักแน่น สารวัตร (สอบสวน) สภ.ไชยา รับแจ้งเหตุยิงกันในร้านกาแฟภายในปั๊มน้ำมัน ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย

ที่เกิดเหตุเป็นร้านขายกาแฟสดภายในปั๊ม พบผู้ได้รับบาดเจ็บคือ น.ส.สุมิตา ชัยบุญเมือง อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/1 หมู่ที่ 1 ต.โมถ่าย อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มีบาดแผลถูกยิงเข้าลำตัว บาดเจ็บสาหัส อีกรายคือ ส.ต.อ.อภิชาติ ทองไซร้ อายุ 33 ปี ตำรวจ สภ.สิเกา จ.ตรัง อยู่ในชุดตำรวจครึ่งท่อน มีบาดแผลถูกยิงที่ใบหน้า

 

เจ้าหน้าที่เร่งนำทั้งคู่ส่งโรงพยาบาลไชยา แต่ฝ่ายหญิงเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่เกิดเหตุยังพบอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม.ตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ ทราบว่าก่อนเกิดเหตุฝ่ายหญิงมานั่งทำงานที่ร้านกาแฟเกิดเหตุ ฝ่ายชายขับรถมาจาก จ.ตรัง จอดรถแล้วเดินมาหาผู้ตาย ก่อนจะชักปืนที่พกมายิงใส่ น.ส.สุมิตา 2 นัดจนล้มลง และได้ใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงตัวเองอีกหนึ่งนัดจนได้รับบาดเจ็บ

นางอัมภา ชัยบุญเมือง อายุ 61 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต ระบุว่า ลูกสาวที่มีอาชีพเป็นพนักงานขายยาทางการแพทย์ มักจะไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟเกิดเหตุเป็นประจำ ลูกสาวคบหาเป็นแฟนกับผู้ก่อเหตุมาประมาณ 3 ปี แต่ช่วงหลังลูกสาวไปอยู่บ้านฝ่ายชายที่ จ.ตรัง พบว่าตำรวจมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและทำร้ายลูกสาว จึงขับรถกลับบ้านมาเล่าให้ตนเองฟัง ซึ่งตนก็บอกให้ลูกให้เลิกคบ ลูกสาวก็บอกว่าต้องการเลิก ไม่ต้องการคบด้วย ตนจึงโทรศัพท์ไปต่อว่าฝ่ายชาย แต่ ส.ต.อ.อภิชาติก็ยังตื๊อไม่หยุด จนมาเกิดเหตุสลดขึ้น

ด้าน พ.ต.ท.ประพันธ์ระบุว่า อาการของ ส.ต.อ.อภิชาติพ้นขีดอันตรายแล้ว ตำรวจอายัดตัวแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไปในที่สาธารณะ

ยืนยันดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา

ถือเป็นความสูญเสียจากเงื้อมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก!!