ลึกแต่ไม่ลับ : “สามมิตร” กับ “สาม ช.” 2ก๊วนในพปชร.ที่มีอำนาจต่อรองสูง ?

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน

“ลุงแน่มาก” … “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ชิงลงมือปรับคณะรัฐมนตรี ทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ผลสืบเนื่องมาจาก “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม “นายถาวร เสนเนียม” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แกนนำ กปปส.เก่า เจอ “ลูกหลง”

ถูก “ศาลรัฐธรรมนูญ” พิพากษาจำคุก ทำให้ต้องหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรี เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ ตามช่องทางแห่งมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ 2560

หัสเดิม พรรคพลังประชารัฐทำท่าจะเป็นตลาดผัก ตลาดปลา “พวกตูดหมึก” พากันน้ำลายสอ วิ่งเต้นหวังหยิบชิ้นปลามันกันอุตลุด แต่สุดท้ายพากันฝันสลายในบัดดล เมื่อ “บิ๊กตู่” ตีเนียน เลือกใช้บริการสูตร “ปรับเล็ก”

แต่งตั้ง “คนใหม่” ดัน “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” นั่งรัฐมนตรีว่าการดีอีเอส “ตรีนุช เทียนทอง” ขี่จรวดขึ้นแป้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ใหญ่บะละฮึ่ม

สงครามใน พปชร.ที่กำลังคุกรุ่น ฝุ่นฟุ้ง จบเร็วและเวิร์กมากๆ “2 ลุง” ประสบชัยชนะอย่างใสสะอาด

สกัดจุดกลุ่ม มุ้งต่างๆ ที่กำลังวิ่งเต้นได้อยู่หมัด ไม่มีใครกล้า “เม้งแตก” ออกมาวีน เอะอะพาโวย อารมณ์บ่จอยกันนิดๆ หน่อยๆ

ปฐมเหตุที่ทำให้ศึกใน พปชร.สยบรวดเร็ว มีเงื่อนไขหลายประการ “หนึ่งคือ” ตัวบุคคลที่มารับตำแหน่งใหม่ แทน “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์” เป็นแบรนด์ดีมีชาติตระกูล มาทดแทนส่วนที่ชำรุด เสียงสะท้อนต่อว่าต่อขานจึงเงียบสนิท

“ตรีนุช เทียนทอง” เป็น ส.ส.สระแก้วมา 5 สมัย เป็นหลานเสนาะ เทียนทอง ตระกูลมีความผูกพันใกล้ชิดกันทั้ง “3 ป.” แห่งบูรพาพยัคฆ์ เมื่อครั้งรับราชการอยู่ในกองทัพ ล้วนอยู่ค่ายปราจีนบุรีมาทั้ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโทจากเวสเทิร์น สหรัฐอเมริกา

ขณะที่ “ชัยวุฒิ” ว่าที่รัฐมนตรีดีอีเอสคนใหม่ ก็ครือๆ กัน เป็น ส.ส.สิงห์บุรีมาหลายสมัย เคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์และชาติไทย ก่อนโยกมาสวมปลอกแขน พปชร.ร่วมกับ “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์” ในฐานะก๊วน กปปส.เก่าด้วยกัน ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค “บัญชีรายชื่อ” ลำดับที่ 10

ปริญญาตีวิศวกรรมบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทวิศวะ จากเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย โปรไฟล์พอส่งเข้าประกวดได้ไม่อายใคร ทั้ง 2 คนที่ก้าวสู่ทำเนียบนามรัฐมนตรีใหม่

พลันที่โผ “ตู่ 2/3” ปรากฏ จึงไม่มีเสียงเย้ยหยันปรามาสถากถาง หมากกระดานนี้ยอมซูฮกว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ปรับอย่างชาญฉลาด ลดแรงกระเพื่อมได้ทั้ง “ภายนอก-ภายใน”

กระนั้นก็ตาม ใน พปชร.เสมือน “ป่าใหญ่” เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด ความขัดแย้งย่อมดำรงอยู่ การหลุดวงโคจรอย่างกะทันทันแบบไม่ทันตั้งตัวของ “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์” กล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย สำหรับผู้ก่อตั้งพรรค ที่มีอันเป็นไป

ก่อนหน้าที่ “กลุ่มสี่กุมาร” ซึ่งประกอบด้วย “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรค “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรค “สุวิทย์ เมษินทรีย์” และ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ซึ่งถือว่าเป็นห้องเครื่องเริ่มต้นของการก่อตั้งพรรค

ปั้นมาเองด้วยกันทั้ง “ตัวบุคคล” และ “นโยบาย” จนเป็นคู่ต่อกรสำคัญของ “เพื่อไทย”

แต่สุดท้าย “สี่กุมาร” ถูกปฏิบัติการยึดอำนาจไปแบบน่าเศร้าใจ ไม่ใช่ถูกแซะตกเก้าอี้ แต่ถูก “ถีบทิ้ง” ยกยวง

ขณะที่ก๊วน กปปส.ที่ร่วมลงเรือลำเดียวกันมาแต่เบื้องต้น โดนบุญเก่า จนต้องหลุดวงโคจรตามหลังไปติดๆ

เท่ากับว่า ใน พปชร.ผู้บุกเบิกแผ้วถางทางมาตั้งแต่เบื้องต้น พากันม้วนเสื่อ ทุกกลุ่มที่ก้าวเข้ามามีบทบาทแทนควรนับถือในคุณธรรมน้ำมิตร ทั้ง “สี่กุมาร-กปปส.”

เวลาเท่ากับว่า พปชร.มีมุ้งใหญ่-มุ้งเล็ก เกาะกลุ่มพอจำแนกแยกแยะได้ดังต่อไปนี้

1. “กลุ่มสามมิตร” ยังเหนียวแน่น สงบเยือกเย็นดุจภูผา “แกนนำ” ล้วนมีตำแหน่งบริหารใหญ่โตกันถ้วนหน้า ทั้ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

“อนุชา นาคาศัย” เลขาฯ พรรค รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ล่าสุดได้แนวร่วมถาวรเพิ่มขึ้นมาอีกคนคือ “สุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มียอด ส.ส.ในสังกัดราว 30-40 คน

แต่ด้วยประสบการณ์อันโชกโชน เหลี่ยมคูทางการเมืองสูง ไม่โฉ่งฉ่าง “สามมิตร” เห็นบันไดที่คุ้นเคยมามากต่อมาก รู้ว่าควรก้าวขึ้นหรือก้าวลง

2. “กลุ่มสาม ช.” อันประกอบด้วย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ “สันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

ถือว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแซงทางโค้งมากในช่วงนี้ เพราะมีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กป้อม” ศูนย์อำนาจใหญ่ของพรรค มีขุมกำลังมากที่สุด เห็นว่าราว 50 ชีวิต นอกจากฐานที่มั่นใหญ่ ส.ส.ภาคเหนือ ที่อยู่ในอาณัติของ “ผู้กองมนัส” และ “สันติ” ในฐานะที่เป็นเจ้าของสถานที่ พปชร.

ตัวแปรสำคัญของกลุ่มสาม ช. คือ “13 ส.ส.” จาก 14 จังหวัดภาคใต้ บางส่วน-บางกรณี สังกัดกลุ่ม 3 ช.

3. “กลุ่มภาคอีสาน” ภายใต้การกุมบังเหงียนของ “วิรัช รัตนเศษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีเครือข่ายสังกัดอยู่แน่นอนคือคนในตระกูลเดียวกัน ยกทีมเข้ามาสภาได้หลายคน และมีในจังหวัดใกล้เคียงกับโคราชอีกบางส่วน

“เสี่ยยักษ์” เมื่อก่อนค่อนข้างจะมีพลังไฮเพาเวอร์มากไม่น้อย เพราะทำงานการเมืองภายในและภายนอกพรรคคู่ขนานกับ “กลุ่ม กปปส.เก่า” โดยใกล้ชิดกับ “เสี่ยโอ๋ ชัยวุฒิ”

แต่ระยะหลังๆ ค่อนข้างจะต่างคนต่างอยู่ ไม่ค่อยกอดคอสามัคคีญาติดีกันมากเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ “วิรัช” ไม่ค่อยจะมีฐานกำลังภายใน พปชร.สักเท่าไหร่ในเวลานี้

ภาพรวมโดยสรุป การที่ “กลุ่มสี่กุมาร” และ “กปปส.เก่า” หายไป กลุ่มหรือมุ้งใน พปชร.เวลานี้ เหลือฐานกำลังค่อนข้างจะสูสีกันแค่ 2 ค่ายใหญ่คือ “สามมิตร” กับ “สาม ช.” เท่านั้น