ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
ท่วงท่าลีลาจีน-มะกัน
ต่อรัฐประหารพม่า
จีนกับอเมริกามีท่าทีแตกต่างกันอย่างไรต่อกรณีรัฐประหารในเมียนมา…เป็นคำถามที่น่าใคร่ครวญและวิเคราะห์ให้รอบด้านเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหากได้คำตอบที่สะท้อนความเป็นจริงแห่งยุคสมัยได้ เราอาจจะเห็นทางออกสำหรับเมียนมาที่ตอบโจทย์อันยุ่งยากสลับซับซ้อนได้
จุดยืนของอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ค่อนข้างจะชัดเจนว่าต้องการให้ฝ่ายทหารที่นำโดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ปล่อยตัวออง ซาน ซูจี และผู้นำการเมืองของพรรค NLD และให้เคารพผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
หากฝ่ายทหารไม่ยอมทำตาม อเมริกาก็จะจับมือกับสหภาพยุโรปและสี่ประเทศกลุ่มสมาชิก Quad (สหรัฐ, อินเดีย, ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย) ร่วมกันออกมาตรการคว่ำบาตรเป็นชุดๆ เพื่อกดดันให้ทหารพม่าต้องยอมถอย
หากเป็นสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ ในกรณีเกาหลีเหนือ อเมริกาก็จะบอกว่าจีนจะต้องช่วยกดดันและหว่านล้อมคิม จอง อึน ให้ยอมลดละความพยายามที่จะเผชิญหน้ากับอเมริกา…ด้วยการยอมยกเลิกโครงการนิวเคลียร์
แต่ในยุคสมัยนั้น แม้ทรัมป์จะอ้างว่าสนิทสนมกับสีจิ้นผิง แต่ก็ไม่สามารถทำให้จีนไปกดดันเกาหลีเหนือได้แต่อย่างใด
อาจจะเป็นเพราะทรัมป์เล่นเกมการเมืองโดยตรงกับคิมจนผู้นำเกาหลีเหนือไม่จำเป็นต้องปรึกษาหารือปักกิ่ง
ท้ายที่สุดอเมริกาก็ไม่สามารถทำให้เกาหลีเหนือยอมตามเงื่อนไขของตัวเองได้
ส่วนสีจิ้นผิงได้พยายามกดดันคิม จอง อึน มากน้อยเพียงใดก็ไม่มีใครสามารถประเมินได้
ทั้งๆ ที่ค่อนข้างแน่ชัดว่าการที่เกาหลีเหนือเดินหน้าพัฒนาศักยภาพทางอาวุธนิวเคลียร์นั้นก็มิใช่สิ่งอันพึงประสงค์สำหรับจีนเท่าไหร่นัก
กรณีทหารยึดอำนาจที่เมียนมาก็เช่นกัน…จีนก็ไม่ใช่ว่าจะมีความสบายใจที่มินอ่องหล่ายตัดสินใจ “คว่ำกระดาน” และโค่นอำนาจของออง ซาน ซูจี
เพราะในยุคออง ซาน ซูจี เป็นผู้บริหารประเทศหลังการเลือกตั้งปี 2015 นั้น จีนได้ทุ่มทุนในพม่าอย่างมาก
พอเกิดเรื่องวุ่นวายที่สร้างความไม่แน่นอนที่อาจจะมีผลกระทบทางลบต่อการลงทุนของตนในเมียนมาก็ย่อมทำให้ผู้นำจีนต้องคิดหนักไม่น้อย
เป็นที่มาของคำให้สัมภาษณ์ของเอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา “เฉินไห่” ที่บอกว่า
“สิ่งที่เกิดในเมียนมาวันนี้มิใช่สิ่งที่จีนอยากจะเห็น…”
และยืนยันว่าจีนไม่ได้รับรู้ล่วงหน้าว่าทหารจะก่อการรัฐประหาร
เป็นการตอบโต้คำกล่าวหาจากผู้ประท้วงบางกลุ่มว่าจีนมีส่วนรู้เห็นกับรัฐประหารครั้งนี้
มีการกล่าวหาว่าจีนส่งผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมาช่วยกองทัพเมียนมาสร้างไฟร์วอลล์เพื่อสกัดไม่ให้คนพม่าเข้าใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการระดมพลต่อต้านการยึดอำนาจ
ปักกิ่งปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ด้วยการบอกว่า “ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด” เช่นว่านี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ท่าทีของจีนหลังการยึดอำนาจในเมียนมาจึงเป็นการแสดงออกถึงท่วงท่าที่ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
แต่หลายลีลาของปักกิ่งก็แตกต่างไปจากจุดยืนยุคก่อนเก่าที่เคยกระโดดมาอยู่ข้างกองทัพพม่ามาตลอด
นักการทูตอาเซียนคนหนึ่งบอกว่า “มีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งบอกว่าจีนไม่ค่อยจะสบายใจนักกับการรัฐประหารของพม่า เพราะปักกิ่งรู้ว่าความยุ่งยากในเมียนมาจะมีผลกระทบทางลบต่อเงินที่ลงทุนในโครงการต่างๆ ในประเทศนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
การลงทุนของจีนในการสร้างท่อน้ำมันจากจีนผ่านพม่าเพื่อลงสู่มหาสมุทรอินเดียนั้นเกิดขึ้นจากการเจรจาในสมัยของออง ซาน ซูจี
และพม่าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย One Belt One Road ที่จะทำให้จีนมีทางออกมากกว่าเดิมหลายด้าน
จีนวันนี้ไม่ใช่จีนยุคก่อนที่มีนโยบายหลักคือความมั่นคงและอุดมการณ์ทางการเมือง
วันนี้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจถูกวางในระดับต้นๆ เลยทีเดียว
ความไร้เสถียรภาพในประเทศเพื่อนบ้านคนจีนมี “เดิมพัน” ทางด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจึงเป็นเรื่องอันไม่พึงปรารถนาสำหรับผู้นำปักกิ่งแน่นอน
ก่อนหน้ารัฐประหารเพียงสองสัปดาห์ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนหวังอี้มาเยือนเมียนมา และมีการออกข่าวในสื่อต่างๆ ของการพบปะกับออง ซาน ซูจี และผู้นำทางทหารอย่างกว้างขวาง
เป็นการส่งสัญญาณว่าจีนต้องการเพื่อนบ้านทางใต้ประเทศนี้พัฒนาต่อเนื่องไปอย่างเป็นระบบ
เพราะหากพม่าเฟื่องฟู จีนก็จะได้ประโยชน์ไปด้วยอย่างแน่นอน
หวังอี้พบกับออง ซาน ซูจี คราวล่าสุดนี้เพื่อจะลงนามในข้อตกลงที่มีความสำคัญต่อทั้งสองประเทศอย่างยิ่งคือ “ระเบียบเศรษฐกิจจีน-เมียนมา” หรือ China-Mynmar Economic Corridor
จังหวะที่มาเยือนเพื่อลงนามในสัญญาที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า $100,000 ล้าน (ประมาณ 3 ล้านล้านบาท) นั้นน่าสนใจมาก
เพราะจีนไม่รอให้มีการเลือกตั้งที่กำหนดไว้วันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
อาจจะเชื่อว่า อย่างไรเสียพรรค NLD ของออง ซาน ซูจี คงจะชนะอีกรอบและได้บริหารประเทศสมัยที่สอง
โครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา” นี้จะเชื่อมมณฑลยูนนานทางใต้ของจีนกับชายฝั่งเมียนมาทางอ่าวเบงกอลซึ่งจะเปิดทางให้จีนมีทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย
โครงการมโหฬารนี้แตกย่อยเป็นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดถึง 38 โครงการ
ท่าทีของจีนต่อรัฐประหารเมียนมาครั้งนี้วัดได้จากแถลงการณ์ของหวังอี้และทูตเมียนมาประจำพม่า
แต่ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่านั้นคือบทบาทของจีนในคณะมนตรีความมั่นคงในสหประชาชาติ
และแถลงการณ์ร่วมแสดงจุดยืนของคณะมนตรีว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
จีนเป็นสมาชิกสำคัญของทั้งสององค์กร
หากเป็นยุคก่อน ตัวแทนของจีนจะออกมาปกป้องรัฐบาลทหารของเมียนมาอย่างแข็งกร้าว
แต่คราวนี้จีนกลับพยายามไกล่เกลี่ยต่อรองให้ให้ภาษาที่ประนีประนอมเพื่อประคองทั้งฝ่ายของออง ซาน ซูจี และนายพลมิน อ่อง ลาย
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ ในกรณีร่างแถลงของคณะมนตรีความมั่นคงนั้น จีน (กับรัสเซีย) ไม่ได้ตีตกไปทันที แต่ขอเวลาศึกษาร่างที่ตัวแทนอังกฤษ (ประธานปีนี้) เสนอขึ้นมา
จีนอาจจะขอไม่ใช้คำว่า “ประณาม” หรือถ้อยคำรุนแรงในระดับนั้น แต่ปักกิ่งและมอสโกยอมยกมือให้ออกแถลงการณ์ที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในเมียนมาเคารพในหลักการประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน และนิติธรรม
ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากว่าจีนได้ก้าวถอยห่างออกจากฝ่ายรัฐประหารเมียนมาอย่างชัดเจน
ในกรณีร่างแถลงการณ์ของคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนนั้น จุดยืนของจีนก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จีนจะคัดค้านร่างแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับเมียนมาที่มีผลกระทบต่อกองทัพของเมียนมา
แต่ครั้งนี้ตัวแทนจีนตัดสินใจ “งดออกเสียง”
เมื่อจีนงดออกเสียงแทนการคัดค้านก็เปิดทางให้สมาชิกที่เหลือสามารถลงมติผ่านร่างแถลงการณ์ประณามกองทัพพม่าและเรียกร้องให้ปล่อยออง ซาน ซูจี ได้ด้วยเสียงเป็น “เอกฉันท์”
นี่เป็นวิธีที่แยบยลของปักกิ่งที่จะส่งสัญญาณไปให้ผู้นำทหารเมียนมาว่าจีน “ไม่สบายใจ” กับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาวันนี้
จุดยืนของจีนวันนี้ต่อกรณีเมียนมามีปัจจัยแห่งเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาจีนได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเมียนมาผ่านรัฐบาลพลเรือนที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นอย่างมาก
วันนี้จีนเป็นคู่ค้าหมายเลข 1 และเป็นผู้ให้กู้อันดับแรกของเมียนมา
อีกทั้งจีนยังเป็นประเทศที่ลงทุนในเมียนมาหนึ่งในสามอันดับต้นๆ อีกเช่นกัน
ประกอบกับสหรัฐภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับเอเชียอาคเนย์น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
จึงยิ่งทำให้จีนกับรัฐบาลเมียนมาภายใต้ออง ซาน ซูจี มีความสนิทแนบแน่นกันมากขึ้นมาหลายๆ ด้าน
ถึงขนาดมีนักการทูตบางคนเคยได้ยินนายพลเมียนมาระดับสูงบ่นดังๆ ว่า
“ออง ซาน ซูจี สนิทกับจีนมากไปแล้ว…”
ทั้งๆ ที่ในอดีตฝ่ายพลเรือนต่างหากที่มองว่ากองทัพเมียนมาพึ่งพาจีนมากเกินไปหรือไม่