จะนะร่วมปกป้องบางกลอย / รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

[email protected]

 

จะนะร่วมปกป้องบางกลอย

 

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัดและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

#อาทิตย์บ่ายๆ ของวันที่ 14 มีนาคม 2564 พวกเราในนามส่วนหนึ่งของคนจะนะ ทั้งชาวบ้าน นักเรียน และโต๊ะครู (ผู้นำการศึกษาศาสนา-สามัญ) จาก 3 โรงเรียน สิบแปดชีวิตบน 2 คันรถตู้ ออกเดินทางจากอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ตั้งแต่หกโมงเย็นของวันเสาร์ (13 มีนาคม 2564) เดินรถได้ไม่นาน สังเกตได้ว่ามีรถสายตำรวจผลัดเปลี่ยนกันตามประกบขบวนรถตลอด สลับกับด่านตรวจตลอดทาง

ทุกด่านให้ #คนจะนะ ลงจากรถตู้ตรวจแถว พร้อมทั้งตรวจ-ถ่ายภาพบัตรประชาชน ทุกครั้งเฉกเช่นนักโทษก็ไม่ปาน แม้แต่แวะจอดกินข้าว เข้าห้องน้ำ ก็มีคนตามประกบไม่ห่าง

กว่าจะเดินทางไปพบพี่น้องบางกลอย มองดูนาฬิกาก็เกือบบ่ายสองโมง (14 มีนาคม 2564) ใช้เวลาเดินทางร่วม 20 ชั่วโมง

หลังจากเปลี่ยนจุดนัดพบกันหลายครั้ง จนมาจบลงบริเวณโรงพยาบาลแก่งกระจาน

นายซอรี หว่าหล่ำ บรรยายถึงเหตุการณ์ที่เผชิญกับตำรวจ ว่า “ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เขาผู้รักษากฎหมาย ทำไมต้องทำแบบนี้ ติดตามเรา นอกเครื่องแบบ ตลอดเส้นทาง 2 วันเต็ม ตำรวจเองทำไมขอบัตรประจำตัวประชาชนเราแล้วทำไมต้องถ่ายบัตรด้วย คันอื่นๆ ตรวจเข้มแบบเราไหม? เหล่านี้คือคำถามที่ทำให้เรายิ่งไม่ไว้วางใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เราเข้าใจตำรวจผู้น้อย ดังนั้น ตำรวจผู้ใหญ่ท่านใดสั่ง เขาต้องรับผิดชอบ? รับผิดชอบอย่างไร?”

 

จากพูดคุยกับพี่น้องบางกลอยที่ถูกทางการจับขังคุกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รับฟังด้วยเสียงหัวใจแห่งความเป็นมนุษยชาติ (รวมทั้ง “หน่อแอมีมิ” (เดินไม่ได้) ลูกชายของปู่คออี้ มีมิ อดีตผู้นำทางจิตวิญญาณ และชาวกะเหรี่ยงบ้าน “บางกลอย” และใจแผ่นดิน)

“เมื่อมาสัมผัสเชิงประจักษ์…คนไม่เท่ากันจริงๆ” นี่คำพูดที่สะท้อนของทุกคนจากจะนะ

ซิลลี่ หรือชื่อเต็มอภิสิทธิ์ เจริญสุข นักต่อสู้โดยใช้ช่องทางกฎหมาย แม้ตัวเองไม่ได้เรียนหนังสือในระบบ เรียนรู้จากพระในวัด บอกกับพวกเราว่า “เขาทำงานร่วมกับนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชนของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม โดยเขาจะต่อสู้ทางกฎหมายต่อไปอย่างไม่ย่อท้อเพื่อให้ชาวบ้าน และหวังว่า เมื่อคำพิพากษายอมรับเป็นชุมชนดั้งเดิมกว่า 100 ปีสอดคล้องกับแผนที่ทหาร ในสื่อมวลชนที่ลงข่าว นั่นหมายความว่า มีสิทธิแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอเอกสาร เนื่องจากเอกสารเป็นเพียงการรับรองเท่านั้น แต่สิ่งที่มีอยู่แล้วใช้ได้ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยแตกต่างกับศาลปกครองชั้นต้น โดยศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยชัดเจนว่า ชาวบ้านผิดกฎหมายบุกรุกป่า แต่ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้วินิจฉัยว่าชาวบ้านบุกรุกป่า เพียงแต่วินิจฉัยว่า ยังไม่มีเอกสาร จึงเห็นว่า ยังเน้นเรื่องเอกสารอยู่ ขณะที่ชาวบ้านไม่มีความผิด”

เขาเพิ่มเติมว่า “เขาเคยเรียกร้องแก่คนตัวเล็กตัวน้อยหลายที่ รวมทั้งคนมลายูจังหวัดชายแดนภาคใต้ คนจะนะเขาจะต่อสู้ให้กับที่นี่ให้เป็นแบบอย่างให้คนตัวเล็กตัวน้อยของคนไทย เพราะถ้าที่นี่ชนะ หมายความว่าทุกคนชนะ คนตัวเล็กตัวน้อยจะมีที่ยืน มีกำลังใจในการต่อสู้…มันหมายถึงอนาคตกฎหมายในการคุ้มครองทุกวิถีชาติพันธุ์ในสังคมไทย”

 

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวตอนหนึ่งถึงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้ระบุชาวบ้านทำผิดกฎหมายใดบ้าง แต่ระบุชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่กระทำผิดกฎหมาย 4 ข้อ ได้แก่

1. เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว จากการเผาบ้านและยุ้งฉาง ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้ว่าเป็นบ้านปลูก แต่ยังเผา ดังนั้น จะมาอ้างว่าไม่รู้เผาบ้านใครหรือเผาบ้านร้างไม่ได้

2. เป็นการใช้อำนาจเกินความจำเป็นไม่สมควรแก่เหตุ ซึ่งประวัติศาสตร์ของไทยไม่เคยมีการเผาบ้านของชาวบ้านเลย ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นจึงเป็นครั้งแรก

3. ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการใช้อำนาจของพนักงาน เจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ซึ่งเนื้อหาในมาตราดังกล่าว หลักๆ เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปดำเนินการกรณีพบบุกรุกเพื่อคืนสู่สภาพป่าเหมือนเดิมได้ แต่การใช้อำนาจของเจ้าหน้าต้องปฏิบัติตามหลักปฏิบัติขั้นตอนของระเบียบ

4. ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ในส่วนการจัดการทรัพยากร ที่ให้ยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์

 

เรื่องราว #ชาวบางกลอยช่างสะท้อนใจว่า…ทำไมอำนาจรัฐจึงกดหัวผู้อ่อนแอทั้งประเทศ ในรูปแบบเดียวกัน

เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต ถึงขนาดผลักดัน เคลื่อนย้ายถิ่นฐาน เผาบ้านเรือน จนถึงฆาตรกรรมตามที่เป็นข่าวมานานหลายปี #จนปัญหาบานปลาย เจ้าหน้าที่ยากที่จะถอย…ถ้าถอย ความจริงจะปรากฏ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะตายยกรัง จึงมีแต่เดินหน้าๆๆ อย่างเดียวเท่านั้นเพื่อให้รอดทั้งฝูง

ส่วนชาวบางกลอย ถ้าถอยหลัง จนถึงเส้นแพ้ ที่นั่นมันคือความตายและความล่มสลายของครอบครัวและชุมชนที่ไม่มีจะกิน ไม่พอเลี้ยงชีพ วิถีชีวิตดั้งเดิมถูกทำลายเสียสิ้น…

#จะนะบางกลอยคนไทยหัวใจเดียวกัน เราชาวจะนะในฐานะมลายูมุสลิมไทย พลเมืองไทย จะขอยืนหยัดตามปณิธานศาสนทูตมุฮัมมัดที่เรียกร้องบนพื้นฐานมนุษยธรรม มนุษยชาติ…ให้กำลังใจ พร้อมกะปิ ปลาแห้งที่ทำเองติดตัวมามอบให้พี่น้องบางกลอย พร้อมบริจาคเงินยังชีพ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในครั้งนี้…

ก่อนกลับ #คนจะนะ สัญญาด้วยใจว่า #คนจะนะ ชุดใหญ่ ทีมใหญ่ จะกลับมาช่วยเหลือพี่น้องบางกลอย อีกครั้ง เร็วๆ นี้แน่นอน