ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กรกฎาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | หน้าพระลาน |
เผยแพร่ |
เรียกเขาว่า “พี่ดร” ตามประสาอาวุโสกว่า (เสียชีวิตแล้ว) แล้วก็เป็นนักศึกษาสถาบันเดียวกัน แต่เดินนำหน้าไปก่อนตามไม่ทัน แม้แต่เพียงแค่จะได้เห็นหลังไวๆ
ชื่อจริงท่านชื่อ อุดร ฐาปโนสถ เป็นคนเขียนหนังสือ และนักแปล ใช้นามปากกาว่า “คนเดิม” ในนิตยสาร “ลลนา” ยุคที่ (พี่แต๋ว) สุวรรณี สุคนธ์เที่ยง (สุคนธา) นักเขียนระดับฝีมือชาวศิลปากรผู้มีชื่อเสียง ที่จากไปในวัยยังไม่สมควร เป็นเจ้าของ และบรรณาธิการ
อาจเป็นเพียงเรื่องบอกกล่าวเล่าขานกันต่อๆ มา แต่มันเป็นเรื่องราวที่สังคมของคนสูงวัยแถวหน้าพระลานไม่เคยสลัดมันให้หายไปจากความทรงจำได้ จนกระทั่งได้พบเจอตัวจริงเมื่อท่านเดินทางกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทย หลังจากไปทำงานในสถานีวิทยุ “เสียงมอสโก” ภาคภาษาไทยของประเทศรัสเซีย เพราะเชี่ยวชาญเรื่องภาษา โดยเฉพาะกับภาษารัสเซีย
ในยุคสมัยของ (พี่ดร) อุดร ฐาปโนสถ กระแสเรื่องการปกครอง การเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ แรงมาก เป็นสิ่งที่น่ากลัว และต้องห้ามสำหรับบ้านเรา
ใครมีท่าทีว่าเอนเอียงไปฝักใฝ่ชอบพอลัทธิดังกล่าว แค่อยากรู้อยากเห็นเพื่อเป็นการศึกษาก็ไม่ได้ ถูกจับตามองจากทางการบ้านเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ตำรวจสันติบาล” ขณะนั้น
สำหรับประเทศซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ อย่างจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่า “จีนคอมมิวนิสต์” สหภาพโซเวียต-รัสเซีย (ก่อนล่มสลาย) เป็นแผ่นดินที่ต้องห้ามสำหรับคนไทย ปัญญาชนคนไทยทั้งหลายก็ยังไม่วายที่จะแอบเดินทางไปกันเสมอๆ
ปรากฏว่าเมื่อเดินทางกลับมาก็จะต้องถูกควบคุมตัวไปคุมขังเพื่อทำการสอบสวน
นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์อาวุโสทั้งหลายล้วนผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวกันมามากมาย ไม่เว้นกระทั่งนักการทูต และแม้แต่ในรัฐบาลของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 13, พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ รวมทั้งข้าราชการะดับปลัดกระทรวง ซึ่งตัดสินใจเดินไปเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนแผ่นดินใหญ่
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ใช้ลีลาวาจาทางการทูตพูดจาจนเป็นที่ชอบอกชอบใจของผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านประธาน เหมา เจ๋อ ตุง ทำให้ท่านเมตตาจนสามารถแก้ปัญหาเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อันเป็นเรื่องหนักอกหนักใจของประเทศไปได้ในระดับหนึ่ง แต่เหตุการณ์ปี พ.ศ.2518 ครั้งกระนั้นได้กลับตาลปัตร หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับคณะของท่านที่เดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นิยมการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์
พี่ (ดร) อุดร ฐาปโนสถ ศิษย์รุ่นพี่ของชาวศิลปากร เดินทางไปทำงานยังประเทศรัสเซียเพราะรู้เรื่องราวภาษาเป็นอย่างดี ส่วนท่านจะนิยมชมชอบลัทธิคอมมิวนิสต์หรือไม่ ไม่มีใครไปผ่าหัวใจของท่านออกมาพิสูจน์ แต่เมื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทยพร้อมครอบครัวก็เห็นท่านเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวตัวเป็นเกลียว หนำซ้ำไม่เคยจะเอ่ยเอื้อนเรื่องการเมืองมากไปกว่าเรื่องตลกเฮฮา
นอกจากสถานที่ทำงาน เช่น กองบรรณาธิการหนังสือ “ลลนา” ร้าน “มิ่งหลี” หน้าพระลาน รวมทั้งที่บ้านพักของครอบครัวของ (พี่แต๋ว) อาจารย์สุวรรณี สุคนธ์เที่ยง (สุคนธา) เท่านั้นที่มักจะได้พบกันเป็นประจำ นอกจากนั้นก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเขา อาจเป็นเพราะต่างวัยจนเรียนไม่ทันกันจึงไม่ค่อยจะคุ้นเคย
อยู่มาวันหนึ่ง (หลายสิบปีมาแล้ว) ท่านมาบอกพวกเราว่าสันติบาลเชิญตัวไปคุยทำท่าสอบถามสืบสวนสารพัดเรื่อง ไต่ถามประวัติมากมาย
สุดท้ายถามข่าวแปลกประหลาดฟังแล้วเครียดจนน่าตกใจว่า “ได้ข่าวว่ารัสเซียส่งเรือดำน้ำเข้ามาในน่านน้ำไทยใช่ไหม? ตอนนี้อยู่ที่ไหนคุณรู้หรือไม่?”
ทั้งวงสุราถามกลับไปแทบจะพร้อมกันว่า “แล้วพี่ตอบเขาว่ายังไงล่ะ?”
แทนที่พี่ดรจะตกอกตกใจ หรือวิตกกังวล กลับหันไปคว้าแก้วเหล้ายกขึ้นจิบสบายๆ ก่อนจะบอกว่า ผมบอกกับพวกเขาว่า “ไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่เคยได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย เขาก็ยังซักถามต่อไม่หยุด ผมก็เลยจนใจตอบกลับไปว่า– “เออ-ได้ข่าวว่าเอาไปจอดไว้ที่น้ำตกอะไรซักแห่งหนึ่งแถวจังหวัดเชียงใหม่ละกระมัง–แต่วันนี้ผมยังไม่ได้กลับเข้าบ้านอาจจะไปจอดอยู่ในชักโครกบ้านผมก็ได้”
(ฮาจริงๆ / ไม่รู้รอดพ้นของหนักมาได้ยังไง)
นึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านเลยเป็นทศวรรษนี้ขึ้นมาย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคงสืบเนื่องจากข่าวเรื่อง “กองทัพเรือ” จะซื้อ “เรือดำน้ำ” จากประเทศจีนถึง 3 ลำ ลำละ 12,000 ล้านบาท รวมกันก็เป็นเงินไม่มากมายเลยแค่ 36,000 ล้านบาทแค่นั้นเอง
อันที่จริงความพยายามจะจัดซื้อเรือดำน้ำนั้นมีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายรัฐบาล และผ่าน “ผู้บัญชาการทหารเรือ” มาหลายคนเต็มทีแล้ว ขณะเดียวกันก็มีแต่เสียงคัดค้านกันมากมายโดยทั่วไปบอกว่าประเทศนี้ยากจน น่านน้ำของเราไม่ได้ใหญ่โตกว้างยาวนัก ทุกวันนี้จะเอาเรือดำน้ำไปรบกับใครกัน ไม่ควรเอาเงินจำนวนมากไปทิ้งจมน้ำไว้
เรือดำน้ำเหล่านี้มันจะได้ทำงานอย่างคุ้มค่ากับเงินงบประมาณจำนวนมหาศาลจริงๆ หรือ? ไม่ใช่เอามาดำกั๊กๆ โก้ๆ เท่ๆ เหมือนเป็นการประกาศศักดาเกทับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเท่านั้นเอง หรือยังไง? ซื้อเพราะอะไร เอาเงินมาพัฒนาประเทศด้านอื่นก่อนจะดีกว่าไหม ถ้าถามว่าจังหวะมันพอดิบพอดีพอเหมาะเจาะที่จะจัดซื้อใน “รัฐบาลทหาร” ชุดนี้หรือไม่? มันก็ตอบยากพอๆ กับตอบง่ายว่า กับรัฐบาลที่ไม่มีฝ่ายค้านจะทำอะไรก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว
แต่รัฐบาล “ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” มาจากการ “ยึดอำนาจ” นั้น บางทีก็ขัดกับกฎหมายประเทศในโลกประชาธิปไตย อย่างน้อยก็สหรัฐ ซึ่งไม่สามารถขายอะไรหนักๆ ให้ได้ อย่างเช่น เรือดำน้ำ จึงต้องซื้อจากประเทศจีน ส่วนมันจะดีไม่ดีอย่างไร ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีเรื่องเรือดำน้ำ
บอกได้แต่เพียงว่าต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ให้ลูกหลานได้จดจำกับ “ความกล้าหาญในการจัดซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ” ครั้งนี้?
อันที่จริงมิได้สนใจแต่เฉพาะเรื่องศิลปะ เรื่องกีฬาทุกชนิดมันก็ชโลมหัวใจให้สดชื่นมีความสุขสดชื่นได้ ขณะยังหนุ่มแน่นมีเวลาจะหาโอกาสเดินทางไปยังสนามแข่งกีฬาที่ชอบเสมอๆ แต่ทุกวันนี้คงแบกสังขารไปไม่ไหวต้องพึ่งพาการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และสื่อทุกชนิดหลายช่องทาง โดยเฉพาะกับศึก “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” (ยูโร 2016) ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
ในขณะฝรั่งเศสเจ้าภาพครั้งนี้ประสบความสำเร็จในฐานะเจ้าภาพจัดการแข่งขันได้อย่างเรียบร้อยผ่านพ้นไปโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง การก่อการร้ายดังที่ทั่วโลกหวาดหวั่น มีเพียงแฟนบอลชาวอังกฤษปะทะกับรัสเซียนิดหน่อย เจ้าภาพได้ผลกำไรมากเท่าไร ตัวเลขยังไม่ปรากฏ
แต่ความสำเร็จเหล่านั้นจะเทียบกับตำแหน่ง “แชมป์ยุโรป” ที่เจ้าภาพหวังไว้ไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ “เป็นทีมเต็ง 1” มาตลอด ซึ่งถ้าได้แชมป์หนนี้จะเป็นครั้งที่ 3 เท่ากับเยอรมนี และ สเปนทันที
มองเล่นๆ อีกมุมหนึ่งผ่านม่านตาทางลบแง่ร้ายแบบมีเรื่องบุญ-กรรม โชควาสนา และวิชามารเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คงแปลกดีเหมือนกัน จากทีมฟุตบอล 24 ทีมนั้นผลการแข่งขันพลิกผันแพ้ชนะไขว้กันไปมาจนกระทั่งทีมใหญ่ๆ มาเจอกันก่อน อย่างอิตาลี เยอรมนี เบลเยียม อังกฤษ สเปน ตกรอบกันเป็นว่าเล่น วันที่เยอรมนีบดกับอิตาลี ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นการชิงชนะเลิศได้นัดหนึ่งแล้ว
ยิ่งในวันที่เยอรมนีตัดเชือกกับฝรั่งเศส ว่ากันว่านั่นก็เป็นการ “ชิงชนะเลิศ” อีกครั้ง?
เป็นเรื่องของโชควาสนาที่อังกฤษ ซึ่งมีปัญหาการลงประชามติจนต้องถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ทีมฟุตบอลใหญ่ของเขากลับต้องมาแพ้ทีมของประเทศเล็กๆ มีประชากรไม่ถึง 5 แสนคนอย่างไอซ์แลนด์ ไม่รู้เหมือนกันว่าในประวัติศาสตร์สหราชอาณาจักร ไปทำเวรกรรมอะไรไว้กับประเทศนี้บ้าง?
สำหรับกรรมการที่ว่ากันว่าตรงไปตรงมา แต่ถ้าลองแอบคิดร้ายๆ ถึงใจคน ใครจะไปล้วงออกมาดูให้เห็นได้ วันที่เจ้าภาพฝรั่งเศสซดกับเยอรมนีในรอบรองชนะเลิศ เยอรมนีขยับนิดหน่อยกรรมการก็เป่าเอาๆ โดยเฉพาะกับลูก “จุดโทษ” นั้นถ้าเป็นทีมฝรั่งเศสโหม่งกรรมการจะเป่าหรือเปล่า? ยังสงสัย เพราะลูกที่ทำให้เกมเปลี่ยนจนพลิกผันลูกนั้นกรรมการแค่ “อมนกหวีด” ไว้เฉยๆ ไม่เป่าก็ไม่มีใครตำหนิได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นัดชิงชนะเลิศระหว่างเจ้าภาพฝรั่งเศสกับโปรตุเกส คิดกันไหมว่าซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำไมลงไปวิ่งได้แค่ 24 นาทีจึงโดนบดถึงสองครั้งเหมือนกับเป็นการ “สั่งเก็บ” ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาถูกหามขึ้นเปลออกมาจากสนาม อาจเป็นเรื่องบังเอิญเท่าๆ กับตั้งใจที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ ก็ได้ แต่สุดท้าย “โรนัลโด้” ก็ยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องยิงประตูฝรั่งเศส เพียงแค่ต้องเดินกะเผลกๆ ขึ้นไปรับรางวัลอันยิ่งใหญ่
ไม่เคยเชื่อเลยสักนิดว่าทุกอย่างไม่ได้เกิดเพราะความคิดแยบยลของคน อย่างมากก็คิดเป็นเรื่อง “เวรกรรม” ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนก็ตาม