ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | นิติศาสตร์เพื่อราษฎร |
เผยแพร่ |
ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาปฏิวัติฝรั่งเศส (17)
การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ของสภาแห่งชาติ เริ่มต้นจากการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อกำหนดตารางการทำงานและกระจายงานออกไปให้คณะอนุกรรมาธิการรวม 30 คณะ โดยแต่ละคณะจะเลือกผู้รับผิดชอบการจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอต่อสภาแห่งชาติ
คณะอนุกรรมาธิการที่ 8 ซึ่งมี Mounier เป็นผู้รับผิดชอบทำรายงาน (เขาได้รับเลือกโดยชนะ Siey?s) ได้เสนอรายงานฉบับแรกเกี่ยวกับประเด็นปัญหาอันสำคัญของรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ขอบเขตอำนาจของสถาบันกษัตริย์ รูปแบบของความเป็นผู้แทน และคำประกาศสิทธิของพลเมือง
ต่อมา ในวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 ด้านนอกสภา ประชาชนได้บุกทลายคุก Bastille
ส่วนเหตุการณ์ภายในสภาแห่งชาตินั้น มีการลงมติให้รัฐธรรมนูญใหม่ต้องประกอบด้วยบทบัญญัติรับรองสิทธิมนุษยชนและพลเมืองด้วย
นอกจากนั้น สภาแห่งชาติยังมีมติให้การกำหนดเนื้อหาในรัฐธรรมนูญต้องกระทำกันในที่ประชุมสภาแห่งชาติด้วย
มติดังกล่าวไม่ตรงกับข้อเสนอของ Mounier ที่ต้องการให้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณายกร่างเนื้อหาสำคัญของรัฐธรรมนูญและคำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองเสียก่อน เพื่อให้อนุกรรมาธิการได้อภิปรายถกเถียงในรายละเอียดกันได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากแรงกดดันจากสมาชิกสภาแห่งชาติ
สภาแห่งชาติจึงมีมติตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เรียกกันว่า “คณะกรรมาธิการรัฐธรรมนูญชุดที่หนึ่ง” ประกอบไปด้วย Mounier, Siey?s, Le Chapelier, Bergasse ซึ่งเป็นพวกฐานันดรที่สาม Clermont-Tonnerre, Lally-Tollendal ซึ่งเป็นพวกขุนนาง และ Talleyrand, Champion de Cic? ซึ่งเป็นพวกพระ
หากพิจารณาถึงพื้นฐานทางฐานันดรของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พบว่าฝ่ายที่มาจากฐานันดรที่สามมีมากกว่าฝ่ายที่มาจากฐานันดรพระและขุนนางในอัตราส่วน 4 ต่อ 2 ต่อ 2
ทั้งนี้เนื่องจากฐานันดรที่สามประสบชัยชนะในการเปลี่ยนสภาฐานันดรที่สามเป็นสภาแห่งชาติและสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ส่วนผู้แทนจากฐานันดรพระและขุนนางที่เข้าร่วม คือ พวกที่ยินยอมตามความคิดของฐานันดรที่สามแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงความคิดทางการเมืองและแนวคิดในการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว พบว่าสถานะหรือฐานันดรไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความคิด กรรมาธิการส่วนใหญ่เป็นฝ่ายที่สนับสนุนกษัตริย์ สนับสนุนรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาแบบระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษ และสนับสนุนระบบสองสภา
มีเพียง Siey?s, Talleyrand, Le Chapelier เท่านั้นที่ต่อต้านระบบสองสภา และยืนยันว่าระบบสภาเดียวเท่านั้นที่สอดคล้องกับหลักการอำนาจอธิปไตยของชาติ
แม้สมาชิกสภาแห่งชาติต่างเห็นพ้องร่วมกันว่าประเทศฝรั่งเศสจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญกำหนดกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศให้แน่นอนชัดเจน เพื่อให้พ้นไปจากการใช้อำนาจตามอำเภอใจและการกดขี่ของรัฐบาล
และเป็นภารกิจของพวกเขาที่ต้องจัดทำรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จตามคำสาบานที่ให้ไว้ ณ สนามเทนนิส
แต่ “รัฐธรรมนูญ” คือเป้าหมายร่วมกันเท่านั้น ส่วนเนื้อหาของ “รัฐธรรมนูญ” จะเป็นเช่นใด ก็ต้องถกเถียงกันอย่างหนัก และเป็นประเด็นชิงไหวชิงพริบ ช่วงชิงเอาชนะกัน
จนนำมาซึ่งการแบ่งสมาชิกสภาออกเป็นฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายอนุรักษนิยม
การจัดทำรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับไม่อาจหลีกหนีแรงกดดันจากสภาพการเมืองในช่วงเวลานั้นได้
การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับแรกของฝรั่งเศสก็เช่นเดียวกัน การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 และเหตุการณ์ทางการเมืองต่อเนื่องจากนั้นมีผลชี้นำทิศทางการจัดทำรัฐธรรมนูญ
ในช่วงฤดูร้อน 1789 การเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา ทั้งในเมืองและในชนบท มีส่วนสำคัญในการกดดันให้สภาแห่งชาติต้องยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และตราคำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง
ภายหลังเหตุการณ์ทลายคุก Bastille เกิดกระแสข่าวลือลามไปทั่ว โดยเฉพาะในชนบท ทำให้ชาวนาจำนวนมากตระหนกตกใจลุกขึ้นก่อขบถในหลายพื้นที่
เกิดกระแสรวมหมู่ชักชวนกันให้ไปบุกยึดทรัพย์สินและที่ดินของพระและขุนนาง
นอกจากนี้ ยังเข้าไปยึดหอจดหมายเหตุที่ดินเพื่อทำลายหนังสือแสดงอภิสิทธิ์เหนือที่ดินของพวกเจ้าที่ดิน
เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “La Grande Peur” หรือ “ความกลัวรวมหมู่ขนานใหญ่”
เหตุการณ์ La Grande Peur กดดันให้สภาแห่งชาติต้องพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับระบบอภิสิทธิ์ที่ให้แก่พระและขุนนาง
ในเวลานั้นสภาแห่งชาติกำลังจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากสถานการณ์ทางการเมืองภายนอกสภาสับสนอลหม่านแบบนี้ ก็อาจทำให้การเมืองในสภาดำเนินต่อไปไม่ได้
และขบวนการปฏิวัติที่ชนชั้นกระฎุมพีเป็นผู้ถางทางเริ่มต้นอาจหลุดมือไปจากพวกเขาได้
ดังนั้น สภาแห่งชาติจึงจำเป็นต้องหาหนทางให้เหตุการณ์ความวุ่นวายภายนอกอันเกิดจากข่าวลือต่างๆ นานายุติลงให้จงได้
สภาแห่งชาติมีสองทางเลือก
ทางเลือกแรก คือ การยืนยันหลักกรรมสิทธิ์ หากเลือกวิธีการนี้ ก็หมายความว่าจำเป็นต้องควบคุมและปราบปรามการก่อขบถในพื้นที่ต่างๆ อันอาจทำให้ชาวนาตั้งตนเป็นศัตรูกับระบบฟิวดัลมากขึ้นและอาจไม่พอใจสภาแห่งชาติไปด้วยก็ได้
ทางเลือกที่สอง คือ สร้างระบบการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและคนจน ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นดอกผลความสำเร็จ ด้วยสถานการณ์ที่ข่าวลือทำงานไปทั่วเช่นนี้ ทางเลือกนี้ก็ไม่อาจเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา
เมื่อทั้งสองทางเลือกถูกปฏิเสธ สมาชิกสภาแห่งชาติกลุ่มเบรอตง (Club breton) จึงได้เสนอวิธีการใหม่ คือ การประกาศยกเลิกระบบอภิสิทธิ์
เริ่มต้นจาก Vicomte de Noailles เสนอให้ยกเลิกอภิสิทธิ์ทั้งหมดเพื่อการลุกฮือในต่างจังหวัดสงบลง
ต่อมา Duc d”Aiguillon เสนอให้รับรองหลักความเสมอภาคในการจ่ายภาษี และให้รัฐซื้ออภิสิทธิ์ต่างๆ คืนได้
ในท้ายที่สุดสภาแห่งชาติลงมติในวันที่ 4 สิงหาคม 1789 ให้ยกเลิกระบบฟิวดัลทั้งหมด
มักกล่าวกันว่า วันที่ 4 สิงหาคม 1789 คือวันยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และสิ้นสุดระบบฟิวดัล และเป็นวันสำคัญในการปฏิวัติฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดแล้ว พบว่าระบบอภิสิทธิ์และระบบฟิวดัลนั้นไม่ได้สิ้นสุดลงทันที
กฎหมายลงวันที่ 4, 6, 7, 8 และ 11 สิงหาคม 1789 ประกาศรับรองไว้อย่างกว้างๆ เท่านั้น โดยในมาตราแรก ยืนยันว่าสภาแห่งชาติทำลายระบบฟิวดัลทั่วทั้งหมด ส่วนมาตราถัดๆ ไป เป็นการยกเลิกอภิสิทธิ์ต่างๆ ในหลายเรื่อง เช่น ภาษี ที่ดิน ทรัพย์สิน ระบบศาล แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดเงื่อนไข กระบวนการ และวิธีการในการยกเลิกอภิสิทธิ์เหล่านี้
จึงเกิดปัญหาตามมาว่าจะใช้เกณฑ์อะไรในการจำแนกทรัพย์สินที่ถือครองตามระบบอภิสิทธิ์?
รัฐสามารถยึดคืนได้ทันทีหรือต้องจ่ายค่าทดแทน?
กระบวนการในการทยอยยกเลิกอภิสิทธิ์ต้องทำอย่างไร?
ดังนั้น สภาแห่งชาติต้องทยอยออกกฎหมายเพื่อขยายรายละเอียดตามมาตั้งแต่ 1790 จนถึงปี 1793
โดยสภา Convention ในสมัยสาธารณรัฐ ออกกฎหมายลงวันที่ 17 มิถุนายน 1793 ประกาศยกเลิกอภิสิทธิ์ทั้งหมดตามระบบฟิวดัลโดยรัฐไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนคืน
แม้ระบบอภิสิทธิ์และระบบฟิวดัลไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน ถึงกระนั้น เหตุการณ์ในวันที่ 4 สิงหาคม 1789 ก็เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้คนได้สำนึกถึงความเป็นปัจเจกบุคคล มีอิสระในการตัดสินใจ เสมอภาคเท่าเทียมกัน
ความคิดเช่นนี้ได้แพร่หลายออกไปยังภาคสังคมมากขึ้น
ไม่ใช่จำกัดเฉพาะในหมู่นักปฏิวัติเท่านั้น