ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ในที่สุดศาลก็มีคำสั่งขังไผ่-ไมค์-รุ้ง ทั้งที่ยังเป็นเพียงผู้ต้องหาในคดี 112 ไปตลอดการพิจารณาคดี
และไม่ว่าเหตุผลที่ศาลแถลงในคำสั่งขังโดยที่ยังไม่มีการตัดสินจะเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจคนจำนวนมากคือ ถึงอย่างไรก็จะมีการสั่งขังคนกลุ่มนี้อย่างแน่นอน
ด้วยความเชื่อว่าประเทศไทยยุคนี้ขังผู้ต้องหาคดี 112 ก่อนพิจารณาคดี คนจำนวนมากเชื่อต่อไปว่าวันที่ 25 มีนาคม ก็จะมีเด็กๆ อีก 13 คนถูกขังด้วยคดี 112 ทั้งที่ยังไม่เริ่มไต่สวนคดีเช่นกันด้วย
เพราะเมื่อเพนกวิน-อานนท์-ไผ่-รุ้ง ฯลฯ ถูกขังทั้งที่ไม่มีคำตัดสินว่าผิด การไม่ขังคนอื่นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
จากแนวทางขังผู้ต้องหาคดี 112 ก่อนการไต่สวนในศาลตั้งแต่คดีเพนกวินจนถึงคดีรุ้ง ประเทศไทยมีผู้ถูกขังเพราะเหตุนี้อย่างน้อย 7 คนแล้ว
และหากรวมกลุ่มที่เข้าข่ายโดนขังในวันที่ 25 มีนาคม ไปด้วย เราก็จะมีคนติดคุกคดี 112 โดยที่การตัดสินยังไม่เริ่มต้นเลยอย่างน้อย 20 คน
แต่ละคนคงมีมุมมองแตกต่างกันว่าคำสั่งขังก่อนไต่สวนยุติธรรมหรือไม่และอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงที่จับต้องได้จริงๆ คือคำแถลงสาเหตุการขังไม่ปรากฏคำว่าความยุติธรรมให้ได้ยินแม้แต่น้อย
คนที่ไม่เห็นด้วยกับการขังทั้งที่ยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาจึงมีมากจนเกิดการประท้วงรูปแบบต่างๆ ทันที
เห็นได้ชัดว่าการสั่งขังผู้ถูกกล่าวหาคดี 112 ทั้งที่ยังไม่เริ่มไต่สวนนั้นสร้างความไม่พอใจให้คนหลายกลุ่ม “การเมืองมวลชน” ทั้งในมิติ “การเมืองบนท้องถนน” และ “การเมืองในโลกออนไลน์” จึงมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อจากนี้แน่ๆ ถึงแม้จะไม่มีใครตอบได้ว่าระดับการขยายตัวจะไปแค่ไหนก็ตาม
ด้วยเหตุที่ผู้ถูกศาลขังด้วยคดี 112 ทั้งที่ยังไม่มีการพิจารณาคดีนั้นล้วนเป็นบุคคลที่เข้าข่าย “แกนนำ” ทิศทางของ “การเมืองมวลชน” ต่อจากนี้จึงเป็นทิศทางที่เคลื่อนไหวแบบไร้แกนนำยิ่งขึ้นโดยหลีก เลี่ยงไม่ได้
หรืออีกนัยคือการเคลื่อนไหวแบบ Redem หน้าศาลน่าจะขยายตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ
การเคลื่อนไหวแบบไร้แกนนำของ Redem มีพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วยความโกรธแค้นของประชาชนต่อ “รัฐ” หรือ “รัฐบาล”
แต่ปริศนาที่ไม่มีใครรู้คือระดับความโกรธแค้นที่ประชาชนมีต่อ “รัฐ” หรือ “รัฐบาล” มีมากแค่ไหนในการผลักดันให้คนร่วมเคลื่อนไหวแบบนี้กับ Redem ในระยะยาว
ถ้าความโกรธแค้นมีมากจนขบวนการ Redem ขยายตัว การต่อต้านรัฐแบบหน้าศาลหรือเดินขบวนไปบ้านประยุทธ์ จันทร์โอชา วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ก็จะขยายตัวตามไปด้วย “รัฐ” หรือ “รัฐบาล” จะเจอสถานการณ์ใหม่ว่าจะทำอย่างไรกับขบวนการที่ไร้แกนนำซึ่งพร้อมจะสู้เพื่อระบายความโกรธแค้นอย่างทะลุเพดาน
หากรัฐเลือกวิธีปราบปราม Redem แบบที่เลือกขังเพนกวิน-รุ้ง-อานนท์-ไผ่-ไมค์ ฯลฯ โดยที่ยังไม่พิจารณาคดี คำถามคือ รัฐจะจับใครในขบวนการที่ไร้แกนนำซึ่งไปไกลถึงขั้นเดินขบวนไปศาลโดยไม่มีใครนำได้อย่างสันติ หรือจะใช้วิธีสลายการชุมนุมมั่วซั่วซึ่งอาจส่งผลราวสาดน้ำมันเข้ากองไฟ
เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ มาตรการที่รัฐใช้คือการจับ “แกนนำ” ขังคุกทั้งที่ศาลยังไม่เริ่มพิจารณาคดี หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือขังไม่ให้ประกันทั้งที่ยังไม่ได้ก่อเหตุอะไรในกรณี “โตโต้” ซึ่งหมายความว่ารัฐเลือกสาดน้ำมันเข้ากองไฟบนความมั่นใจว่าสามารถควบคุมไฟไม่ให้ไหม้ลามไปทั้งแผ่นดิน
ปัญหาคือ ต่อให้รัฐจับมั่วและขังคุก “แกนนำ” ก็ไม่ได้หมายความรัฐจะประสบความสำเร็จในการกำจัดคนที่เห็นต่างจากรัฐบาลให้หมดสิ้นไป ไม่ต้องพูดถึงการทำให้ประชาชนพอใจกับการมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี
จริงอยู่ว่าการเคลื่อนไหวแบบ Redem เป็นเรื่องใหม่ที่ดูดุดันจนไม่ใช่ทุกคนจะเข้าร่วมได้ทั่วไป
แต่ต่อให้เป็นคนกลุ่มที่ไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวกับ Redem ความไม่พอใจที่คนเหล่านี้มีต่อ “รัฐ” หรือรัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่ได้ลดหายไปด้วยจนในที่สุดความไม่พอใจนี้ก็จะระเบิดในทางหนึ่งทางใดอยู่ดี
คุณประยุทธ์ไม่ใช่นายกฯ ซึ่งประชาชนเลือกจนเป็นที่ยอมรับของประชาชน ชัยชนะของฝ่ายตรงข้ามคุณประยุทธ์อย่างพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ในการเลือกตั้ง 2562 รวมทั้งการที่คุณประยุทธ์ตั้ง 250 ส.ว.มาเลือกตัวเองเป็นนายกฯ คือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ เพราะเขียนกติกาให้ตัวเอง
เมื่อใดที่ประชาชนเห็นคุณประยุทธ์คุมทำเนียบรัฐบาล เมื่อนั้นประชาชนจะรำลึกว่าคุณประยุทธ์คือประจักษ์พยานของการปกครองประเทศโดยคนกลุ่มน้อยไม่รู้จบ
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เป็นคนกลุ่มน้อยที่อยู่ในอำนาจ 7 ปี แต่กลับไม่สามารถสร้างความนิยมจากการผูกขาดอำนาจและใช้เงินมหาศาลได้เลย
ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ คุณประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งนายกฯ โดยปิดหู, ปิดตา และไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ที่เห็นต่างจากรัฐบาล คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ด่าสื่อหรือตอบโต้สื่ออย่างหยาบคายที่ไม่มีนายกฯ คนไหนทำมาก่อน เช่นเดียวกับคำสัมภาษณ์บ่อยครั้งถึงความไม่พอใจการรวมตัวของประชาชน
อุปสรรคใหญ่ของการจรรโลงคุณประยุทธ์ในตำแหน่งนายกฯ คือคุณประยุทธ์ไม่ใช่ผู้นำแบบซึ่งเป็นที่รักของใครได้เลย ทุกครั้งที่ทีมงานคุณประยุทธ์สร้างภาพให้คุณประยุทธ์ใกล้ชิดประชาชนผ่าน “โซเชียล” ผลที่ได้คือประชาชนเข้าไปด่าหรือวิจารณ์จนคุณประยุทธ์ต้องเลิกกิจกรรมนี้ไปทุกกรณี
ใครไม่เชื่อก็ลองไปดูความเห็นประชาชนในเพจ พล.อ.ประยุทธ์ดู ต่อให้คุณประยุทธ์จะตระหนักว่าตัวเองมีประชาชนนิยมน้อยจนไม่ค่อยโพสต์ข้อมูลข่าวสารอะไร ความเห็นส่วนใหญ่ในโพสต์อันน้อยนิดนั้นก็แสดงความรักน้อยกว่าแสดงความชัง
ยุทธการใช้คดี 112 ขังเพนกวิน-อานนท์-รุ้ง-ไผ่ ฯลฯ ซึ่งลุกลามเป็นการขังนักศึกษาและคนอื่นๆ อีกเกือบ 20 คนคือยุทธการปิดปากคนเห็นต่างจากรัฐบาล
แต่เจ็ดปีที่คุณประยุทธ์ทำแบบนี้ต่อเนื่องกลับส่งผลให้คนที่กล้าต่อต้านหยิบมือเดียวในปี 2557 กลายเป็นการชุมนุมทั้งประเทศตลอดปีที่ผ่านมา
ด้วยการปิดปากประชาชนจนตัวเองไม่ได้ยินเสียงคนส่วนใหญ่ที่เห็นต่างจากรัฐบาล คุณประยุทธ์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้มีอำนาจที่ทำทุกอย่างจนทำให้ความไม่พอใจของประชาชนพุ่งทะยานขึ้นไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการจัดสรรตำแหน่งคณะรัฐมนตรีราวกับเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว
การปรับ ครม.จึงเป็นเพียงใบเสร็จของความสำเร็จในการวิ่งเต้นและสร้างอำนาจต่อรองเท่านั้นเอง
ถ้าคุณธรรมนัสได้เป็นรัฐมนตรี ความเชื่อว่าคุณธรรมนัสแบ๊กดีก็จะยิ่งมีคนเชื่อมากขึ้นไปอีก
แต่ถ้าคุณอนุชาได้เป็นรัฐมนตรี ความเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ประเคนตำแหน่งตามความต้องการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อกลุ่มสามมิตรซึ่งมีภาพเป็นนักการเมืองแนวผลประโยชน์ก็จะรุนแรงขึ้นทันที
ท่ามกลางประเทศที่เศรษฐกิจตกต่ำจนรัฐต้องเอาภาษีประชาชนมาอุดหนุนเศรษฐกิจติดต่อกัน 7 ปี รัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการคือรัฐมนตรีที่เก่งในรัฐบาลที่รวมคนมีความสามารถบริหารประเทศ แต่การปรับคณะรัฐมนตรีแบบนี้ไม่มีทางทำให้ได้รัฐมนตรีที่เก่งและดีแบบที่สังคมต้องการได้เลย
คนไทยทุกสมัยรังเกียจ “นักการเมืองน้ำเน่า” ที่รวมกันตั้งรัฐบาล และยิ่งคุณประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งเนิ่นนาน รัฐบาลคุณประยุทธ์ยิ่งเป็นที่รวมของ “นักการเมืองน้ำเน่า” ซึ่งไม่เพียงแต่จะรวมตัวแย่งตำแหน่งจนน่าเกลียด แต่ ส.ส.หลายคนยังมีภูมิหลังเป็นงูเห่าที่ทรยศประชาชน
“นักการเมืองน้ำเน่า” ร่วมตั้งรัฐบาลกับคุณประยุทธ์เพราะความได้เปรียบที่คุณประยุทธ์ตั้ง 250 ส.ว.มาเลือกตัวเองเป็นนายกฯ รัฐบาลที่ทหารจับมือกับนักการเมืองน้ำเน่าจึงไม่มีทางแก้รัฐธรรมนูญเรื่องนี้
และในที่สุดการล้มกระดานแก้รัฐธรรมนูญจะยิ่งทำให้ความไม่พอใจคุณประยุทธ์ท่วมท้นทวีคูณ
ไม่มีปัญหาว่าคุณประยุทธ์สามารถรวบอำนาจเพื่อยึดประเทศเป็นของตัวเองได้ต่อไป แต่อนาคตของประเทศจะทวีความยุ่งยากยิ่งขึ้นแน่ๆ เพราะเป็นรัฐบาลที่ประชาชนไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพ เป็นรัฐบาลที่ได้อำนาจเพราะความฉ้อฉล และเป็นรัฐบาลที่รัฐมนตรีไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ
สองปีของรัฐบาลประยุทธ์หลังเลือกตั้ง 2562 ไม่ใช่สถานการณ์ที่สงบ คุณประยุทธ์อาจประสบความสำเร็จในการขจัดคู่แข่งอย่างอนาคตใหม่และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมทั้งใช้กฎหมายสั่งขังเด็กๆ ที่ต่อต้านคุณประยุทธ์ตลอดปี 2563 แต่ความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อคุณประยุทธ์ไม่เคยหมดหรือลดลงเลย
การจับกุมคุมขังคดี 112 ทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินคือบันไดขั้นแรกสู่ขั้นตอนใหม่ของการต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงเช่นไร
แต่มวลชนที่ต้องการต่อต้านนั้นมีแน่ เจ็ดปีหลังยึดอำนาจไม่เคยลด เหลือเพียงแค่จะระเบิดออกมาในช่องทางไหนเท่านั้นเอง