ธงทอง จันทรางศุ : สังคมเราต้องเปิดโอกาสให้คนต่างฐานะ ต่างมุมมอง และต่างปัญหา รับฟังความกันและกัน

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

แผ่กว้างกว่าโต๊ะอาหารเช้า ‘หรู’

วันที่เขียนคือจันทร์ต้นสัปดาห์ของการทำงานปกติในเดือนมีนาคม ที่ไม่มีวันหยุดราชการเป็นพิเศษตลอดทั้งเดือน

ในฐานะคนที่เกษียณอายุราชการแล้วและมีเวลาว่างงานมากกว่าคนทั่วไป ผมเกิดมีอารมณ์นึกครึ้มขึ้นมา จึงชวนหลานสาวที่เรียนอยู่ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งและอยู่ในระหว่างช่วงเวลาที่เธอกำลังฝึกงาน ไปกินข้าวเช้าด้วยกันสักมื้อหนึ่ง ก่อนที่ต่างจะแยกไปปฏิบัติภารกิจตามนัดหมายของแต่ละคน

มื้อเช้าวันนี้ของผมเป็นอาหารฝรั่งในโรงแรมบนถนนวิทยุ อาหารคาวเป็นไข่กวน มีกลิ่นอายเห็ดทรัฟเฟิลกับผัดเห็ดเสิร์ฟพร้อมเบคอน

ของหวานผมเลือกผลไม้สดตามฤดูกาล เครื่องดื่มก็เป็นชาไทยรสชาติพอดิบพอดีพร้อมน้ำแข็งเย็นเจี๊ยบถูกอัธยาศัยของคนที่ไม่กินของร้อนแบบผมเป็นอย่างยิ่ง

มองผ่านกระจกบานใหญ่ออกไปจากโต๊ะที่เรานั่ง เห็นต้นไม้สีเขียวขจีบนถนนวิทยุสบายตาเป็นที่สุด ถ้าไม่ต้องไปประชุมที่ไหนก็นั่งหย่อนอารมณ์ได้อีกหลายชั่วโมงเลย

ความหมั่นไส้พุ่งปรี๊ดถึงขีดสุดหรือยังครับ

ยังไม่พอครับ เติมความหมั่นไส้อีกหน่อยจะเป็นไรไป

 

มื้อกลางวันเมื่อวานนี้ผมไปกินโจ๊กอร่อยล้ำที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งใจกลางพระนคร

ต้นกำเนิดของร้านโจ๊กที่ว่านี้เขาว่ามาจากฮ่องกงเลยทีเดียว เล่าลือกันว่าเมื่อวันที่เปิดร้านเมื่อราวสองเดือนก่อน ลูกค้าเข้าแถวกันยาวยืดเป็นงูกินหางเลยทีเดียว

ร้านรวงต่างๆ บนชั้นสองของศูนย์การค้าแห่งนั้นเป็นร้านชนิดราคาแพงระยับ ที่เรียกว่าร้านแบรนด์เนมต่างๆ บางร้านเห็นคนยืนเข้าคิวอยู่จำนวนหนึ่ง เพราะมีการจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะเข้าไปอยู่ในร้านได้ในเวลาเดียวกันตามมาตรการป้องกันโรคโควิด

รุ่นน้องที่ไปด้วยกันบอกว่า ร้านเหล่านี้บางร้านขายดีกว่าช่วงที่ไม่มีโรคโควิดเสียด้วยซ้ำ

เพราะท่านผู้มีอันจะกินทั้งหลายไม่มีโอกาสไปช้อปปิ้งต่างประเทศ ท่านจึงเลือกมาบำบัดความหงุดหงิดเสียที่ศูนย์การค้าแห่งนี้

ยอดขายของร้านแบรนด์เนมจึงไม่ตกหล่นแต่ประการใด

ถ้าเรามองเห็นภาพเพียงแค่บนโต๊ะอาหารของผมเช้าวันนี้ หรือคิวรอซื้อของหน้าร้านแบรนด์เนมเมื่อวานนี้แล้วบอกว่าเศรษฐกิจของเมืองไทยยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ผู้คนก็ยังมีกินมีใช้อยู่ตามปกติ

นั่นแปลว่าเรากำลังหลอกตัวเองอย่างสุดเหวี่ยงทีเดียว

 

บทสนทนาของผมกับหลานสาวเมื่อเช้านี้จึงแผ่วงกว้างไปไกลกว่าโต๊ะที่เรานั่งกินข้าวเป็นไหนๆ

ทั้งลุงและหลานเห็นพ้องกันว่า มื้อเช้าของเราวันนี้เป็นภาพมายาที่ไม่อยู่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของประเทศไทยโดยรวมได้เลย

ออกจากโรงแรมที่ถนนวิทยุ แล้วเดินทางไปถนนหรือตรอกซอกซอยที่ไหนก็ได้ในพระนคร เราจะเห็นชีวิตอีกนับล้านกำลังตีนถีบปากกัดเพื่อที่จะมีอาหารพอใส่ปากท้องไปได้ตลอดวัน

เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นถ้าเราจะตระหนักว่า บางคนตีนถีบปากกัดเพียงไหนก็แล้วแต่ ก็จะได้อาหารไม่พอยาไส้เป็นแน่ เพราะมีปากท้องต้องดูแลอีกหลายคน

ไม่ว่าจะเป็นชายชราหญิงชราที่หมดเรี่ยวหมดแรงและกำลังนอนซมด้วยความเจ็บไข้ และได้เงินเบี้ยยังชีพคนแก่เดือนละ 600 บาทจากงบประมาณภาครัฐ

ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานในวัยเรียนอีกสองสามคนที่ต้องแต่งชุดนักเรียนขาดวิ่นไปเรียนหนังสือทุกวัน

ยิ่งต้องมาพบเจอกับสถานการณ์โรคระบาดและการทำมาหากินได้ไม่เป็นปกติในเวลานี้ กว่าจะได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐแต่ละงวดก็มีข้อจำกัดเหมือนระบบชิงโชค

ความทุกข์ยากของคนจำนวนมากที่ไม่ได้นั่งกินข้าวเช้าอยู่กับผมที่ถนนวิทยุหรือเดินเลือกซื้อของแบรนด์เนมอยู่ที่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองเป็นสิ่งที่หลายคนไม่มีโอกาสรับรู้

ผมไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของท่านหรือบุคคลเหล่านั้น

เพราะปัจจัยต่างๆ ที่แวดล้อมชีวิตของท่านไม่เอื้อให้ท่านได้รู้สึกหรือได้สัมผัสกับความจริงที่มีอยู่ในบ้านเมืองได้เลย

แวดวงเพื่อนฝูงที่คบหาสมาคมกันก็อยู่ในฐานะที่ใกล้เคียงหรือไม่แตกต่าง ข้อมูลหรือเรื่องราวที่เข้าสู่ระบบความรับรู้ก็มาจากแหล่งเดียวกัน เป็นแวดวงหรือชุดของข้อมูลที่ความทุกข์ยากของคนเดินดินหาเช้ากินค่ำจะเข้าไปกล้ำกรายได้

ใครอยู่ในฐานะเช่นนี้เหมือนกันแล้วไม่คิดอย่างเดียวกันก็แปลกล่ะครับ

ถ้าเรารู้สึกว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่เป็นคุณต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมขนาดใหญ่ ที่คนร่วมชาติร่วมบ้านเมืองควรจะมีความเข้าอกเข้าใจและเอื้ออาทรให้แก่กัน

การเปิดกว้างในเรื่องของการศึกษาที่มองออกไปไกลเกินกว่าห้องเรียนสี่เหลี่ยม ไม่มุ่งเข็มเพียงแค่การแข่งขันเพื่อจะได้ตำแหน่งชนะเลิศในระบบ หากแต่เปิดหูเปิดตาและเปิดใจให้กว้างที่จะรู้จักบ้านเมืองของตัวเองในแง่มุมที่หลากหลาย มีความเข้าใจความเป็นไปในสังคมอย่างอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องขวนขวายจัดให้เกิดมีขึ้นให้จงได้

 

ผมเองรู้สึกได้ทีเดียวว่าการที่ตัวเองเคยรับราชการอยู่ในกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรือนจำหรือสถานพินิจฯ ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกอบรมสำหรับเด็กที่กระทำความผิดต่อเนื่องกันนานปี

ทำให้ผมได้รู้จักโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากถนนวิทยุ สยามสแควร์ ไอคอนสยาม และเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์มากพอสมควร

ถ้าผมมิได้มีโอกาสเช่นนั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง ความเข้าใจในเรื่องปัญหาอาชญากรรมกรรมทั้งของผู้ใหญ่และของเด็กที่ผมอ่านจากตำรับตำราหรือมีคนเล่าให้ฟัง ก็คงมีได้เพียงแค่ระดับหนึ่ง แต่ไม่ลึกซึ้งเท่ากับได้จับเข่าพูดคุยกับเจ้าของปัญหาแบบตัวจริงเสียงจริง

โบราณท่านจึงบอกว่า ปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ อย่างไรเล่า

นั่นหมายความว่า สังคมของเราต้องเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนต่างฐานะ ต่างมุมมอง และต่างปัญหาที่ต่างฝ่ายต่างพบเผชิญ บนวิถีแห่งการเคารพในความเท่าเทียมและรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน

การเปิดโอกาสให้มีสภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นสามารถทำได้ในหลายช่องทางด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของระบบการศึกษาเพียงอย่างเดียว

ผมนึกถึงสื่อมวลชนทุกแขนงทั้งที่เป็นสื่อจารีตนิยมและสื่อสมัยใหม่

ผมนึกถึงการนำงานศิลปะทุกแขนงมาสื่อความหมาย

ผมนึกถึงการท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาแบบลงลึก

ผมนึกถึงกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนได้มารู้จักมักคุ้นและฟังกันมากขึ้น

และอีกหลายท่านคงนึกอะไรต่อไปได้อีกมากมายยิ่งกว่านี้

ผมเชื่อว่าคนเราถ้ารู้จักกันมากขึ้น บนพื้นฐานของหัวใจที่เปิดกว้าง ปัญหาสารพัดที่ยุ่งอีรุงตุงนังอยู่ในบ้านเราคงคลี่คลายลงไปได้บ้าง

พูดอย่างนี้แล้วก็ต้องย้อนมาถามตัวเองว่า แล้วสิ่งที่เป็นไปในบ้านเราทุกวันนี้เป็นอย่างที่ผมเที่ยวนึกอะไรต่อมิอะไรฟุ้งซ่านมาดังว่าหรือเปล่า

อาหารเช้าหนึ่งมื้อในโรงแรมริมถนนวิทยุเช้าวันนี้ สงสัยจะมีของผิดสำแดงอยู่มาก จึงทำให้ผมฟั่นเฟือนไปได้ถึงขนาดนี้

สงสัยต้องชวนเพื่อนอีกหลายคน รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไปกินข้าวเช้าแบบนี้ด้วยกันบ้างแล้ว จะได้ฟั่นเฟือนเหมือนกันบ้าง

เร็ววันนี้ได้ข่าวว่าจะมีรัฐมนตรีใหม่เข้ารับตำแหน่งหลายกระทรวง

ผมขอเชิญรับประทานอาหารเช้าแสดงความยินดีนะครับ

ผมอาสาเป็นเจ้ามือให้ด้วยก็ได้นะ จะบอกให้