ใส่บ่าแบกหาม : Infinitely Polar Bear

004เธอจ๊ะ

Infinitely Polar Bear เป็นหนังดี ไม่มีฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราใช่ไหม? ไม่เคยผ่านตา ทั้งๆ ที่คนดังอย่างพี่ Mark Ruffalo แสดง มีพี่ J.J. Abrams เป็นหนึ่งในคณะผู้อำนวยการผลิต

พี่เจเจ เอบรัมส์ ผู้ซึ่งงานยุ่งกับงานของตนเอง ทำ Star Wars นั่นไงอย่างที่หนึ่ง แต่ก็ยังแบ่งปันเวลามาเป็นธุระให้หนังเรื่องนี้ได้สร้าง เพราะพี่เขาคิดว่าหนังเรื่องนี้ควรต้องได้สร้างขึ้นมาให้ผู้ชมได้ดูชม พี่เขาช่างมีมุทิตาจิตต่อภาพยนตร์

ที่น่าสนใจคือผู้กำกับการแสดงหญิง Maya Forbes กำกับหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เขียนบทภาพยนตร์เอง และเรื่องก็เป็นเรื่องของตนเอง

อ่านจากสัมภาษณ์ในนิตยสารแวนิตี้แฟร์ คุณมายาเล่าว่า สมัยเรียนหนังสืออย่างวิชาการเขียนเรื่องสั้น ครูก็ให้เขียนเรื่อง คุณมายาก็มักจะเขียนเรื่องพ่อตัวเอง

พอคิดจะทำหนัง ก็คิดจะเขียนเรื่องพ่อ แต่ก็ยั้งไว้ทุกที เพราะไม่อยากคิดว่าเรื่องของตนเองจะไปพิเศษอะไร

ใช่ไหม? ใช่ไหม? คนส่วนมากก็คิดอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ชีวิตเราพิเศษกว่าคนอื่นๆ ถ้าไปดูรายการประกวดร้องเพลง เราก็จะเห็นว่า พ่อแม่ผู้เข้าแข่งขันคิดว่าลูกตัวเองร้องเพลงดีที่สุดเพราะที่สุด

ถ้าไปรายการการแสดง พ่อแม่ดาราก็มักคิดว่าลูกตัวเองแสดงเก่งที่สุด แล้วก็นะ กรรมการเห็นเป็นอื่น ทางบ้านไม่โหวตคะแนนให้เราก็เห็นๆ กันอยู่

จนลูกสาวตนเองอายุ 12 ปี อายุเท่ากับตนเองในช่วงชีวิตอันสำคัญนั้น ก็ได้สะท้อนคิดและทบทวน และพบว่าได้เวลาเล่าเรื่องตนเองได้แล้ว, เรื่องของคุณมายาน่าสนใจที่สุด พ่อเป็นคนพิเศษ เป็นคนไข้โรคไบโพลาร์ แต่ต้องเลี้ยงดูลูกสาวตั้งสองคน ให้ผู้คนสงสัยว่าจะไปรอดหรือไม่?

ฉันชอบชื่อลูกสาวทั้งสองในเรื่องนี้จริงๆ Amelia Lavender Stuart และ Faith Feather Stuart

ณ จุดหนึ่งในหนัง เมื่อลูกสาวตัวน้อย ถึงวันเข้าใจว่าพ่อเป็นอะไร แต่แค่เรียกไม่ถูก

“Our dad is totally polar bear.” ลูกสาวคนเล็กบอกเพื่อนไปอย่างนั้น

พ่อไม่ได้เป็นหมีขั้วโลก พี่สาวต้องแก้ไห้ว่า “Bipolar. He”s manic depressive.”

เรื่องก็เริ่มในช่วงปี 1970 พ่อชื่อ Cameron หรือเรียกสั้นๆ ว่า Cam

พ่อมาจากครอบครัวร่ำรวย แต่พ่อน่ะจน และเป็นโรคไบโพลาร์

แต่ตอนนั้นโรคนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก ตอนพ่อจะมาแต่งงานกันแม่ พ่อก็บอกแล้วว่า พ่อมีอาการ nervous breakdown

nervous breakdown หมายถึง ความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ แต่ก่อนความรู้ยังแยกแยะได้ไม่ละเอียด เขาก็เรียกรวมไปง่ายๆ ว่า โรคประสาท

แต่แม่ก็ไม่ได้แคร์ ตกลงแต่งงานกับพ่ออยู่ดี ลูกก็จำที่แม่บอก

She said it was a crazy time.
Half the people they knew
were going bananas.

แม่ว่าตอนนั้นมันบ้าบอ
คนที่รู้จักเกินครึ่งบ้าบอ

go bananas เป็นสำนวน หมายถึง บ้าบอ แบบเธอแบบฉัน ว่างๆ เราก็ลุกขึ้นบ้าบอกันได้ ให้หายเครียด ไม่ต้องพบแพทย์ ไม่ต้องให้แพทย์วินิจฉัยอาการ

ก็จริงของแม่ คนสมัยนั้นเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ พ่อก็ดูกลมกลืนโดยไม่ต้องแกล้ง

ก่อนหน้าอาการกำเริบ พ่อทำงานดีเป็นดีไซเนอร์เรื่องแสง แต่ก็คงเครียดแหละ สุดท้ายก็โดนไล่ออกจากงาน จากงานนู้นมางานนนี้ จากงานนี้มางานนั้น งานแล้วงานเล่า

We’re celebrating!
…I got fired!

เรามาฉลองกัน!
พ่อโดนไล่ออก!

ลูกสองคนหน้าตางงๆ

Mommy’s gonna be so happy
I kept you out of school.

แม่ดีใจตาย
พ่อทำให้ลูกไม่ต้องไปโรงเรียน

ลูกก็เออออห่อหมกไปกับพ่อ ส่วนแม่ก็ดีงาม แม่บอกลูกทั้งสองว่าอย่าบอกใครว่าพ่อเป็นอะไร

…it’s hard for people to understand that.
And it”s very sad.

ให้คนอื่นเข้าใจเรื่องนี้มันยาก
และมันเป็นเรื่องเศร้ามาก

ดีจัง แม่รู้จักใช้เหตุผลกับลูก

ดีนะที่ครอบครัวของพ่อร่ำรวย ก็รับผิดชอบค่ายาค่ารักษาให้พ่อ และรับผิดชอบเรื่องอพาร์ตเมนต์ แต่เป็นอพาร์ตเมนต์แบบ rent-control คืออยู่ในท้องที่ที่ค่าเช่าไม่ได้แพงหูฉี่ แต่อยู่ในทำเลที่พอใช้ได้ จึงเหลือแต่แม่ที่ต้องเป็นฝ่ายออกหางานทำ เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ก็ยังเหลืออีกหลาย “ค่า” นี่นะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเล่าเรียน ค่าขนมของลูก ฯลฯ

แต่เรื่องนี้ก็ทำให้พ่อปวดใจอยู่ไม่น้อย บางทีมีคนชมก็ตามทีว่าพ่อใจกว้าง ยอมให้ภรรยาเป็นช้างเท้าหน้าได้

…Most men would be completely emasculated
by having their wife go off to be the breadwinner.

ผู้ชายส่วนมากจะไม่เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว
ถ้ายอมให้ภรรยาออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

emasculated หมายถึง โดนตอน ก็ได้ แต่หมายความได้อีกอย่างว่า มีความเป็นชายน้อยลง
breadwinner หมายถึง คนที่หาเลี้ยงครอบครัว ช่วงปี 1940 bread เป็นคำสแลง หมายถึง money หรือก็คือหาเงินเข้าบ้าน

ช่วงพ่ออาการหนัก แม่กับลูกๆ ก็อยู่ที่อพาร์ตเมนต์ ส่วนพ่อก็ไปรักษาที่โรงพยาบาล พออาการดีขึ้นก็ย้ายมาอยู่ halfway house ให้ภรรยาและลูกๆ ไปเยี่ยม

halfway house หมายถึง สถานที่ที่คนไข้มาฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ได้รับการเยียวยารักษาจากแพทย์แล้ว เตรียมพร้อมกลับสู่โลก กลับสู่สังคมของคนปกติ

ระหว่างนั้น แม่ก็หางานทำไม่ได้ แม่ท้อแท้ใจ ลูกต้องมาเรียนโรงเรียนเกรดต่ำ เพราะทางการเขารับนักเรียนตามท้องที่ที่อาศัยอยู่ แม่อยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนเอกชนดีๆ ลูกจะได้มีโอกาสดีๆ ในชีวิตตามไปด้วย

แต่ก็น่าขำ แม่ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ แต่พอดีได้มาอยู่ที่เมืองบอสตัน เมืองที่คนขาวเป็นใหญ่ ไม่มีโอกาสผ่านมาให้คนผิวสีอย่างแม่เลย แม่เลยตัดสินใจไปเรียนต่อ เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นกว่านี้ มหาวิทยาลัยโคลอมเบียเขารับเข้าเรียนเสียด้วยสิ

แต่พอดีมันอยู่มหานครนิวยอร์ก เงินที่มีน้อยนิด จัดสรรแล้ว แม่ก็ได้แค่ไปแบ่งเช่าห้องรูหนูในอพาร์ตเมนต์ของเพื่อน ต้องทิ้งลูกไว้ที่นี่ แล้วใครจะเลี้ยงลูกล่ะทีนี้?

หนังเขาก็แสดงให้เห็นชีวิตคนรวยๆ เมืองบอสตันนะ ครอบครัวของพ่อยืนกรานหัวเด็ดตีนขาดว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้ดอก พ่อป่วย และหาทางออกให้ง่ายๆ ว่า แม่ก็ไม่ต้องไปเรียนต่อ จะยากอะไร แต่ทางเลือกอื่นแบบ ปู่ย่ามาช่วยเลี้ยงหลานให้ไหม? ก็ไม่!

เอาล่ะแม่จะไปตั้งใจเรียนให้จบภายในเวลา 18 เดือน กลับมาเยี่ยมทุกสุดสัปดาห์

Untitled-2

แล้วลูกก็ได้อยู่กับพ่อ แต่ใครดูแลใครก็อีกเรื่องหนึ่ง สุดแล้วแต่วัน แล้วแต่สถานการณ์ เพราะลูกก็อายแหละ พ่อมีพฤติกรรมแปลกมากถึงแปลกที่สุด แต่งองค์ทรงเครื่องก็แปลก พูดก็แปลก ใช้ชีวิตก็แปลก ดูได้จากห้องนอนเลย ทุกอย่างอยู่ในนั้น แต่พ่อก็ไม่ได้ทำร้ายใคร

ความจริงพ่อเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยนะ แต่พ่อโดนไล่ออก พ่อก่อเรื่องไว้เยอะ ที่ตลกคือ เทอมสุดท้ายที่ได้เรียนที่นั่น พ่อลงทะเบียนไป 75 วิชา!

I wasn’t exactly Harvard material.
พ่อไม่ใช่คนแบบฮาร์วาร์ด

material เอามาใช้ในบริบทแบบนี้ มันหมายถึง คำอธิบายคุณสมบัติหรือลักษณะที่เข้ากับคำนิยามบางอย่าง เห็นเขาใช้กันหลายอย่าง girlfriend material, boyfriend material, wife material, marriage material หรือจะใช้ให้เฉพาะเจาะจงก็ได้

ขอยกตัวอย่างในข่าวที่เกิดเป็นข้อถกเถียงประเด็นคำถามว่า Chula material เป็นอย่างไร ถ้าเป็นนิสิตเป็นอย่างไร ถ้าเป็นอย่างอาจารย์ควรเป็นอย่างไร?

หรือจะถามแค่ teacher material ก็ได้ คำตอบก็จะเป็นประมาณ คนจะเป็นครูก็ต้องรู้เรื่องที่สอน มีเมตตา เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ เป็นต้น

Untitled-1

หนังดีนะ อยากให้ทุกคนได้ดู ครอบครัวใดๆ ไหนๆ ก็มีประเด็นปัญหาของตนเอง ครอบครัวหนึ่งอาจมีลูกติดยาเสพติด อีกครอบครัวอาจมีแม่ที่เล่นการพนัน อีกครอบครัวอาจมีพ่อติดเหล้า อีกครอบครัวพ่อแม่ตีกันทุกวันแต่ยังอยู่เป็นครอบครัว บางครอบครัวก็พ่อแม่ตายแล้วแล้วเหลือลูกอยู่กับยาย ฯลฯ

ครอบครัวนี้พ่อเป็นโรคไบโพลาร์ก็แค่นั้น คนในครอบครัวก็ต้องหาทางบริหารจัดการชีวิตให้ตลอดรอดฝั่งให้ได้

คุณมายาผู้กำกับฯ และน้องนี่ไง ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อที่เป็นโรคไบโพลาร์ ผ่านทุกข์ผ่านสุข ฝ่าฟันอุปสรรคมาจนได้

คุณมายาเองก็จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเจียว

หนังเรื่องนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจที่ดี ครอบครัวมันต้องสร้าง สมาชิกต้องร่วมมือร่วมใจ หาหนทางที่เหมาะที่ควร แล้วถ้าครอบครัวเรามันจะไม่เหมือนคนอื่น ก็จงภูมิใจ สร้างมันต่อไปอย่าได้หยุด

ฉันเอง