คำ ผกา | คนเขาจะรัก เลวแค่ไหนเขาก็รัก

คำ ผกา

ฉันอาจจะผิดแค่ให้คิดเร็วๆ ตอนนี้ฉันคิดว่าก่อนปี 2540 ในสังคมไทยยังมีฉันทามติร่วมกันว่าเราต้องการให้ประเทศไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย เราต้องการการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

อย่างน้อยที่สุดการรัฐประหารของ รสช.ในยุคนั้นก็ไม่มีใครเอาดอกไม้ไปให้ทหาร ไม่มีขบวนการประชาชนออกมาขอบคุณทหารที่ช่วยขับไล่นักการเมืองโกงกิน แม้รัฐบาลของชาติชาย ชุณหะวัณ จะถูกเรียกว่าเป็นบุฟเฟ่ต์คาบิเน็ต

อย่างน้อยที่สุดสังคมไทยในขณะนั้นมีความเห็นพ้องต้องกันว่าเผด็จการทหารเป็นสิ่งชั่วช้าเลวทราม และเราทุกคนพึงลุกขึ้นมาต่อต้าน

และแม้นจะมีคนที่ “ไม่สนใจการเมือง” ไม่อ่านข่าวการเมือง ไม่สนใจว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลด้วยวิธีไหนก็จะเป็น ignorance ทางการเมืองจริงๆ คือไม่ออกมามีบทบาทหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง

นั่นคือเป็นทั้ง ignorance และเป็นทั้งผู้ passive ทางการเมือง นอนหลับทับสิทธิ์กันไปจริงๆ จึงไม่มี “เสียง” ไม่หือไม่อือ ไม่ลบไม่บวก

สื่อในยุคนั้นก็แสดงออกในทิศทางเดียวกันหมดคือ นักการเมืองก็ด่า แต่ขณะเดียวกันก็ต่อต้านเผด็จการอย่างเต็มปากเต็มคำ

ดังนั้น การออกมาประท้วงของประชาชนในสมัยพฤษภาทมิฬ จึงไม่ใช่การออกมาสู้กับเผด็จการอย่างโดดเดี่ยว

แต่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนทั้งหมดกับอำนาจเผด็จการ

จนในที่สุด แม้จะมีความซับซ้อนของการเมืองของ “ชนชั้นนำ” ในเวลานั้น แต่การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ต้องนับมันเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปบนฉันทามติร่วมของสังคมที่บอกว่าเราต้องการ “ประชาธิปไตยเต็มใบ”

ตอนนั้นพูดเรื่องนายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็มีแต่คนปรบมือแซ่ซ้องเห็นด้วย

ตรงกันข้ามกับที่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เสนอให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งไปปุ๊บ เจอวาทกรรม “สภาผัว-เมีย” สวนกลับมาทันที

และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง กลายเป็นความผิดฐานล้มล้างการปกครองไปอีก

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าสังคมไทยเคยมีโมเมนต์ที่เรามีประกายตาระยิบระยับเต็มไปด้วยความหวังที่เรารู้ว่าต่อไปนี้ นายกฯ จะมาจากการเลือกตั้ง นายกฯ มาจากคนที่เป็น ส.ส. นายกฯ มาจากหัวหน้าพรรคที่มี ส.ส.มากที่สุด – มันเคยเรียบง่าย เข้าใจง่ายมากๆ ขนาดนั้นมาก่อน

และมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ สำหรับฉันที่อยู่ๆ วาทกรรมนักการเมืองเลว นักการเมืองโกง นักการเมืองขายชาติ ทักษิณกินรวบประเทศไทย ทักษิโนมิกส์ ทักษิณสร้างระบอบเผด็จการรัฐสภา-ด้วยวาทกรรมเพียงเท่านี้ที่เปลี่ยนให้สังคมไทยจากที่เคยมีฉันทามติร่วมกันว่าเราต้องการประชาธิปไตย ถูกแปรรูปเป็น เราต้องการประชาธิปไตยที่มี “คุณธรรม”

การรัฐประหารปี 2549 ไม่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางอากาศธาตุ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เกิด ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอยู่ๆ กองทัพและ ผบ.ทบ.ก็กระหายอำนาจขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะชนชั้นนำสอง-สามคนทะเลาะกัน

การรัฐประหารปี 2549 เกิดจากการที่ “ชนชั้นนำ” ตระหนักว่า ประชาธิปไตยชักจะแข็งแกร่งและมีแนวโน้มจะได้ลงหลักปักฐานลงบนแผ่นดินนี้อย่างจริงจัง

ก่อนหน้านั้นพวกเขาคิดว่าหลังจากทำรัฐธรรมนูญปี 2540 แล้ว ก็มีรัฐบาลที่บริหารเช้าชามเย็นชาม ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไปวันๆ ประชาชนยากจนเหมือนเดิม และโครงสร้างทางอำนาจ วัฒนธรรม ระบบราชการทุกอย่างก็จะคงเดิม เพิ่มเติมคือนักการเมืองดูแย่ลงเรื่อยๆ

แต่การณ์กลายเป็นว่า ประชาชนฉลาดกว่าที่คิด

ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยก็เก่งกว่าที่คิด นโยบายเรียบๆ ง่ายๆ อย่างสามสิบบาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน การปฏิรูประบบราชการก็เปลี่ยนแปลงสังคมได้มากกว่าที่คิด

การกระจายอำนาจก็ทำปลดปล่อยศักยภาพท้องถิ่นอย่างที่ไม่มีใครจะจินตนาการออกมาก่อน

อยู่ๆ มือปืน เจ้าพ่อ หัวคะแนน การฆ่ากันยิงกันช่วงก่อนเลือกตั้ง ศัพท์อย่างคืนหมาหอน งูเห่าก็หายไปจากแวดวงการเมืองไทย

การเลือกตั้งแข่งกันที่นโยบายและผลงานล้วนๆ และทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี แต่สร้างประเทศได้มากกว่าที่เคยได้ทำมาตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา

การรัฐประหารปี 2549 ไม่ได้ปรารถนาเพียงทำลาย “ทักษิณ” แต่ต้องการทำลายฐานทุกฐานที่เป็นฐานของการสร้างสังคมประชาธิปไตย

และฐานแรกที่ต้องทำคือ ทำให้ประชาชนไทยเชื่อว่า ประชาธิปไตยไม่ดี จนกว่าจะได้ “คนดี” มาเป็นนักการเมือง

ระหว่างที่ยังไม่มีคนดีมาเล่นการเมืองก็ยกบ้านเมืองให้ “คนดี” มาปกครองชั่วคราวไปก่อน

การถักทอเครือข่ายและอุดมการณ์ “สลิ่ม” ขึ้นมาตั้งแต่ก่อนการรัฐประหารปี 2549 ผ่านรายการของสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อ “คุณภาพ” ของปัญญาชนในเวลานั้นอย่างผู้จัดการ สื่อโทรทัศน์น้ำดี คนที่เคยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการสื่ออย่างเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สถานีโทรทัศน์เพื่อประชาชน เอ็นจีโอที่เคยต่อสู้กับเผด็จการ แกนนำในพฤษภาทมิฬอย่างสุริยะใส กตะศิลา

ก๊วน “หมอ” ที่มีชื่อเสียงเรื่องสู้เพื่อประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการ ต้องการสร้างสังคมเสมอภาค ยุติธรรมอย่างประเวศ วะสี – คนเหล่านี้หันมาขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและสนับสนุนการรัฐประหาร

และนี่คือ “ทุน” ทางสังคมของคนเหล่านี้ที่ทำให้การสนับสนุนรัฐประหารปี 2549 ดูดีมีราคา การสนับสนุนรัฐประหารกลายเป็นคุณงามความดี และการต้านรัฐประหารกลายเป็นอาชญากรรม เป็นขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นกบฏ เป็นควาย เป็นขี้ข้าทักษิณ

การออกมาต้านรัฐประหาร และเรียกร้องประชาธิปไตย ถูกบิดเบือน ถูกลดทอนคุณค่าให้กลายเป็นการต่อสู้เพื่อ “ทักษิณ”

ขบวนการเสื้อแดงถูกเหมารวมให้กลายเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคล (ซึ่งในคนนับล้านที่ออกมาเป็นเสื้อแดงก็ต้องมีคนเป็นหมื่นเป็นแสนที่มองทักษิณเป็นรูปเคารพ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะเหมารวมการต้านรัฐประหารและการเรียกร้องประชาธิปไตยให้กลายเป็นขบวนการของควายแดง ขี้ข้าทักษิณ ทว่ามันก็เกิดขึ้นและถูกประทับตราไปแล้ว)

สําหรับฉัน นี่คือความสำเร็จที่โคตรสำคัญ โคตรยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำไทยที่เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในเกม “อุดมการณ์” ในฐานะผู้ยึดกุม soft power ไว้ในมือมาตลอดหลายทศวรรษแห่งการอยู่ในอำนาจของพวกเขานับตั้งแต่มีชัยเหนือคณะราษฎรหลัง 2475 ลงมา

พวกเขาสามารถทำให้คนไทยเกือบครึ่งประเทศรังเกียจการเลือกตั้ง

และถ้าให้เลือกระหว่างเผด็จการกับทักษิณ เขายินดีเลือกที่จะอยู่และปกป้องกับเผด็จการ ยินดีที่จะไม่มีประชาธิปไตย ยินดีที่จะอดอยาก ยินดีที่จะไม่มีวัคซีนโควิด

ขออย่างเดียวขอฟ้าอย่าเปิดให้ทักษิณและพวกกลับมามีอำนาจ

และนอกจากผีทักษิณ ล่าสุดพวกเขายังสร้างผีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขึ้นมาอีกตนหนึ่ง เพื่อเหนี่ยวรั้งคนไทยเกือบครึ่งประเทศไม่ให้กล้าปล่อยมือจากเผด็จการในนาม “คนดี”

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว จากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลายร่างไปเป็น กปปส. ที่นำไปสู่การรัฐประหารปี 2557 จากนั้น ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยู่กับเรามา 7 ปี และกะพริบตาอีกสัก 3 ที ประยุทธ์อาจจะอยู่กับเรายาวนานถึง 10 ก็เป็นได้

ถ้ามองในแง่ของจำนวนคน ช่วงวัย และอิทธิพลในสื่อใหม่ สลิ่มอยู่ในภาวะอัสดง ในขณะที่กลุ่มคนที่สมาทานแนวคิดประชาธิปไตยสากลอยู่ในฤดูแห่งการผลิบาน ทั้งช่วงวัย และปริมาณ

ทว่า ชนชั้นนำเองก็รู้ข้อจำกัดเรื่องนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพยายามทำคือ ออกแบบกลไกทางการเมืองเพื่อสถาปนาอำนาจของพวกเขาให้สถาพรลงไปในสังคม

และทำให้การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยนั้นกลายเป็นการเดินอยู่ในเขาวงกต

พวกเขาเขียนรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อวางข่ายทางอำนาจกุมอำนาจรัฐสภาผ่านพรรคพลังประชารัฐบวกวุฒิสมาชิกทั้งหมด

พวกเขาสร้างเครือญาติเกี่ยวดองไขว้กันไปมาในกลุ่ม คสช.เก่า รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง วุฒิสมาชิกและบุคลากรในองค์กรอิสระทั้งหมด แยกสาแหรกออกมาก็จะเห็นว่า อ้อ มาจากที่เดียวกัน

พวกเขามี ครม.หุ่นเชิด ที่ไม่มีอำนาจใดๆ และอำนาจการบริหารอำนาจและผลประโยชน์ (ไม่บริหารประเทศ) นั้นบริหารกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านองคาพยพอื่นที่ไม่ใช่สภาและ ครม. แต่อาศัยสภาและ ครม.เป็นตรายางให้

ด้วยกลไกที่เป็นอยู่นี้ทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่าน ส.ส.ร.ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายด่านเสียจนฉันคิดว่า สังคมจะหมดแรงเสียก่อนที่เราจะได้เห็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ

ด่านใกล้ที่สุดที่ต้องเจอในเร็ววันนี้คือด่านของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยว่าอำนาจการแก้ไขยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่?

การต่อสู้บนถนนของม็อบก็ต้องเผชิญกับศัตรูที่เป็น “ประชาชน” เหมือนกัน คือ ประชาชนที่ถูกทำให้เชื่อว่า ระหว่างประชาธิปไตยที่มีทักษิณกับธนาธร ขออยู่กับเผด็จการดีกว่า

นี่คือการปะทะกันของสองอุดมการณ์ในการเมืองไทยที่ต่างมี “มวลชน” มี “ประชาชน” ของตนเองทั้งคู่

ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างประชาชนกับอำนาจเผด็จการที่ชั่วสถุล อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น เช่น เมียนมา

ความยากกว่าของประเทศไทยคือ เผด็จการของเรายังเป็นเผด็จการอันเป็นที่รักของคนจำนวนมากอยู่

คนเขาจะรัก เลวแค่ไหนเขาก็รัก – อ่านะ