ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์
จตุพร มองมีนาคมเดือด
ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่การขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์
ชี้ทำสำเร็จหากมุ่งข้อเดียว
“ผมมองการเคลื่อนไหวของม็อบไม่ว่าดำเนินไปจนสุดทางตรงไหน แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาใหม่และน่าจับตา คือหลังวันที่ 11 มีนาคมนี้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย กรณีอำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกวุฒิสภา สมชาย แสวงการ ที่มีรากเดิมมาจากการเป็น ‘กลุ่ม 40 ส.ว.’ ได้ร่วมกันเสนอ ผมว่ากรณีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญทางการเมืองไทย” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.มองการเมืองหลังเดือนมีนาคมจะยิ่งร้อนระอุ
จตุพรกล่าวว่า คนในสังคมวันนี้ต่างก็เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องพังทลายลง จะในขั้นศาลรัฐธรรมนูญหรือจะมาพังในขั้นวุฒิสภาที่จะมีการนัดหมายโหวตวันที่ 17-18 ว่าถ้าเสียงไม่ได้ 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง เลยเชื่อว่า ยังไงรัฐธรรมนูญก็ต้องถูกคว่ำได้เสมอทั้ง 2 ทาง คือ หากเกิดจากภายในรัฐบาลเอง ในเกมนี้พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับความกดดันสูงสุดจากประชาชน
เพราะว่าตอนที่ประชาธิปัตย์หาเสียงเลือกตั้งประกาศแล้วว่าไม่เข้าร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เมื่อเลือกตั้งเสร็จกลับมีมติเข้าร่วมรัฐบาล โดยยื่นเงื่อนไขว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องบรรจุเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วน พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องยอมทำแถลงในที่ประชุมรัฐสภาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วน
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา การเล่นเกมยกแรกมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญยื้อเวลามาได้ระยะหนึ่งก็มีการยื่นร่างฝ่ายค้าน/รัฐบาล และ iLaw
ของฝ่ายค้านและรัฐบาลเปิดทางที่มาตรา 256 ไปๆ มาๆ ทำท่าจะโหวตในวาระที่ 1 พรรครัฐบาลก็มาเสนอตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาร่างว่าควรจะโหวตอย่างไร ก็ยื้อเวลาจนสมัยประชุมท้ายที่สุดแล้วก็รับร่างก็ใช้กระบวนการดึงเกมไปมาจนกระทั่งผ่านวาระที่ 2
และเป็นที่น่าสังเกตว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ให้รองหัวหน้าพรรคอย่างไพบูลย์ไปเสนอต่อสภาเพื่อขอส่งศาลรัฐธรรมนูญ
“นี่ถือว่าเป็นการเล่นแหกตาประชาชนต้มคนดู ผมมองว่าคนไทยจะเสียอะไรก็เสียได้ ยกเว้นการเสียรู้-ถูกหลอก เขาจะทนกันไม่ได้”
ประธาน นปช.มองด้วยว่า ถ้าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าไม่สามารถแก้ไขโดยมี ส.ส.ร.ได้ อันมีบทเรียนรัฐธรรมนูญปี 2550 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นแบบนี้ ที่เขียนคลุมเครือ แนะนำให้ไปแก้เป็นรายมาตราแล้วไปตายอีกรอบหนึ่งตอนโหวตรายมาตรา มาครั้งนี้ผมเชื่อว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เพิ่มประเด็นมาใหม่ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ต้องมี ส.ว. 1 ใน 3 และเราเองก็เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ขอรับฟังความคิดเห็นจาก 4 บุคคล ที่นำโดยคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งใน 4 คนนั้นเป็นคนที่มีลักษณะแบบเดียวกันหมด ทำให้ทุกคนเชื่อว่าไม่สามารถแก้ไขได้ มีโอกาสที่จะคว่ำกันตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญ
หรือรอดมาได้ก็จะมีการคว่ำอีกครั้งโดยวุฒิสภาและพรรคพลังประชารัฐ
โฟกัสสำคัญจึงอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่ในสถานการณ์ ร่อแร่เต็มที เพราะเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราชก็แทบจะกัดหูกันกับพรรคพลังประชารัฐ แข่งขันรุนแรงเหลือเกิน ดังนั้น หลังวันที่ 11 มีนาคม หากแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ตามที่ประกาศไว้ ผมเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์เขาจะต้องรู้ตัวว่าในเมื่อเสียงในกรุงเทพฯ เขาไม่เหลือสักคน แถมในพื้นที่ภาคใต้ก็เสียไปหลายจังหวัด เพราะฉะนั้น เขาจะไม่เหลืออะไรแล้ว เดิมพันเขาสูงอย่างมาก
ถ้าเรื่องรัฐธรรมนูญเขายังถูกเบี้ยวอีก ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะถูกประชาชนกดดันจนถอนตัว ยกเว้นจะด้านชนิดที่หนาแบบที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ผมคิดว่าประชาธิปัตย์จะอยู่ได้ลำบาก
ส่วนพรรคภูมิใจไทยเขากลายเป็นพรรคที่วางสำหรับอนาคตไว้อยู่แล้ว เรื่องรัฐธรรมนูญเขาก็แสดงเต็มที่ ผมเชื่อว่าในที่สุด 2 พรรคนี้ต้องทยอยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
แต่ประชาธิปัตย์จะต้องไปเป็นพรรคแรก โดยจะไปหลังวันที่ 11 หรือวันที่ 18 มีนาคม ก็ตาม ยังไงก็อยู่ไม่ได้ ถ้าอยู่แบบนี้ประชาชนจะตั้งคำถามและขับไล่
มองต่อมาสถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีก็มีปัญหาภายใน หรือแม้แต่ระหว่างพลังประชารัฐกับภูมิใจไทยในการโหวตศึกไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมาก็มีเบื้องหลังมากมาย
เพราะฉะนั้น สนิมเกิดแต่เนื้อในตนทั้งสิ้น ส่วนปัจจัยภายนอกเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยรักษาสัญญาตั้งแต่เข้ามาปีแรกว่าอยู่ไม่นาน ประกาศสารพัดทำไม่ได้สักอย่าง จนกระทั่งเรื่องรัฐธรรมนูญก็ถือว่าเป็นการโกหกซ้ำซาก
แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างไม่เกี่ยวข้องอะไรก็แล้ว แต่ที่มาของวุฒิสมาชิกก็ชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนตั้ง แม่น้ำหลายสายก็มาจาก คสช. ผมคิดว่าประชาชนก็เห็นเองว่ารัฐธรรมนูญที่มันแก้ไขไม่ได้ สุดท้ายจะเหลือทางเดียวคือ “ประยุทธ์ออกไป”
“ผมเชื่อว่าคนจะมายิ่งกว่าเขื่อนแตก เพราะว่าท้ายที่สุดคนสิ้นหวังมันไม่รู้ว่าอนาคตคืออะไร เพราะว่าเล่นละครกันไปมา อยู่ดีๆ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐก็ให้เลือกตั้ง ส.ส.ร. 200 คน แต่รองหัวหน้าพรรคไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
การเมืองที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าเดือนมีนาคมจะเป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลง ผมก็ว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง ผมเองมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนจำนวนมาก ประวัติศาสตร์การต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องเสื้อสีอะไรก็ตาม สิ่งที่เราเห็นต่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราต่อสู้กันมาไม่มีอะไรเปลี่ยน ยังคงอยู่ แต่ขณะเดียวกันเราจะเห็นว่าภัยของชาติอย่างแท้จริงคือการแบ่งแยกประชาชนและปกครอง แล้วการปกครองนั้นไร้ซึ่งหลักธรรมาภิบาล ไร้ซึ่งสัจวาจาที่จะแก้ไขปัญหาของประชาชน
“ผมเชื่อว่าเราจะเดินไปถึงจุดที่ทุกคนวางเรื่องตัวเองและก็ร่วมกันขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์”
“ผมคิดว่าทิศทางจากนี้จะเดินไปแบบนี้ เพราะสิ่งเดียวที่เป็นปัญหาคือตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่เมื่อไหร่ รัฐธรรมนูญก็แก้ไขได้เมื่อนั้น”
“หรือแม้แต่เรื่องราวอื่นก็ตามคุณต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ‘สถาบัน’ ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็ในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ผมว่ามันจะมาบรรจบในลักษณะอย่างนี้ คือเราอาจจะมองเส้นทางเดินของหนุ่ม-สาวเขาเดินเส้นทางไหนก็ไปให้สุดทางแต่หลังวันที่ 11 มีนาคม ผมคิดว่าจะมีเส้นทางใหม่ เป็นเส้นทางที่ใหญ่ ถนนทุกสายไหลมาบรรจบกันว่าบัดนี้ได้เวลาที่จะต้องจัดการกันแล้ว ไม่เช่นนั้นชาติบ้านเมืองต้องปี้ป่นกว่านี้”
ประเทศไทยจะตั้งต้นกันได้ไม่ใช่พอโควิด-19 หมดแล้วเศรษฐกิจจะดีเหมือนเดิม ต้องใช้เวลาอีกหลายปี
แต่ถ้ามีผู้นำที่ทุกฝ่ายมีความเชื่อมั่น ให้ความร่วมมือ มีสัจวาจา ปฏิบัติด้วยความเชื่อระหว่างกัน เราอาจจะพลิกฟื้นได้เร็วกว่านั้น
ไม่อย่างนั้นถ้ามันไปไม่ได้ ฟางเส้นสุดท้ายคือเรื่องของรัฐธรรมนูญ ถ้าถูกหักหลังผมเชื่อว่าคนจะหมดความอดทน
อดีตประธาน นปช.บอกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องมองว่ามันเป็นผลมาจากข้อเดียว ผมเชื่อว่าแม่น้ำทุกสายจะสามัคคีประชาชน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนและรวดเร็ว เพราะถ้ามันคลิก จะใช้เวลาไม่นาน ที่ผ่านมาการชุมนุมยืดเยื้อเพราะอาจจะยังไม่คลิก
แต่ผมเชื่อว่าประเด็นนี้มันใช่กับ 7 ปีที่หาอนาคตไม่เจอ เข้าสู่ปีที่ 8 ก็ไม่รู้จะมีความหวังอะไรอีกหรือเปล่า เพราะความสำเร็จในอดีตก็หาไม่พบ มองอนาคตก็หาความเจริญไม่ได้ มีแต่ความหนักขึ้น สาละวันเตี้ยลงตามลำดับ
ส่วนตัวมองว่า ถ้าการชุมนุมมุ่งตัว พล.อ.ประยุทธ์อย่างเดียว คิดว่าจะสำเร็จไปตั้งแต่ปีที่แล้ว การมีข้อที่ 3 ยิ่งเป็นการลากให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ ผมขอวิพากษ์อย่างตรงไปตรงมาเพราะมันเป็นสิ่งที่คู่กัน ยิ่งพุ่งเป้าข้อที่ 3 เท่ากับสร้างความชอบธรรมให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ มาถึงจุดนี้ต้องพูดแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าเอาข้อเดียว พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งความจริงและตัว พล.อ.ประยุทธ์คือปัญหาข้อที่ 1, 2 และ 3 ถ้าพุ่งเป้าถึง พล.อ.ประยุทธ์ ผมเชื่อว่าหลายอย่างจะได้รับการแก้ไข
ส่วนข้อที่ 3 หากพุ่งไปจะยิ่งไปสร้างความแข็งแรงให้กับ พล.อ.ประยุทธ์
ในทางยุทธวิธีและทางยุทธศาสตร์และต้องประเมินสถานการณ์ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรให้กับประชาชนได้ แต่ทำไมยังอยู่ในตำแหน่งได้ ผมเชื่อว่าถ้าไม่มี พล.อ.ประยุทธ์แล้วทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข แต่ตราบใดที่ยังมี พล.อ.ประยุทธ์ การสร้างความปรองดอง ความสมานฉันท์จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนยากจนก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ
“ปัญหาของชาติทั้งหมดจึงอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์”
ชมคลิป