ชีวิต “ส่วนตัว” ชีวิต “การเมือง” ของสาววิศวะชื่อ มายด์ ภัสราวลี

หมายเหตุ : บทความเผยแพร่วันที่ 26/02/2021

 

ถ้ากล่าวถึงแกนนำคณะราษฎร ที่เป็นหญิงสาวตาคม หน้าสวย ผมยาว และที่สำคัญกว่าคือ มีความเฉลียวฉลาดในการตอบคำถามและการปราศรัย

คนส่วนใหญ่ย่อมนึกถึง “น้องมายด์-ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล” หนึ่งในขวัญใจผู้ชุมนุมฝ่ายประชาธิปไตย

สาววัย 25 ปี อย่าง “มายด์ ภัสราวลี” มีพื้นเพเป็นคนจังหวัดสระบุรี ปัจจุบันเธอศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ (สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

มายด์เล่าว่า ตนเองเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม ชอบดูแลตัวเองอยู่เสมอ มีเคล็ด (ไม่) ลับสำคัญคือ การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสร้างพลังงานให้พร้อมลุยในแต่ละวัน และมีกำลังไปร่วมชุมนุมทางการเมือง

ส่วนเรื่องหัวใจ มายด์ขอไม่ตอบตรงๆ แต่เปิดเผยสเป๊กชายหนุ่มว่า ส่วนตัวไม่ติดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ขอเพียงแค่คุยกันรู้เรื่อง และเป็นคนสบายๆ ก็พอแล้ว

หญิงสาวคนนี้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นและเข้มแข็ง คุณพ่อเป็นเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง คุณแม่มีอาชีพค้าขาย และต่างเป็น “นักสู้” ทั้งคู่ เนื่องจากครอบครัวเคยเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในช่วงปี 2540

แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ส่งเสียให้ลูกสาวได้รับการศึกษาโดยครบถ้วน

“มายด์ ภัสราวลี” จึงเลือกเรียนต่อในสาขาวิศวกรรมโยธา เพราะหวังว่าจะต่อยอดธุรกิจของครอบครัว ช่วยคุณพ่อทำงานรับเหมาก่อสร้าง และฝันอยากจะเป็นวิศวกรที่ดีคนหนึ่ง ซึ่งสามารถทำงานหาเงินเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ได้

เดิมทีครอบครัว “ธนกิจวิบูลย์ผล” ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองสักเท่าไร คุณพ่อมีการติดตามข่าวสารบ้าง แต่คุณแม่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเลย

สำหรับมายด์ เธอเริ่มสนใจการเมืองอย่างจริงจังเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ซึ่งมีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อว่า นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้ทำกิจกรรมใส่ “เสื้อสีขาว” แสดงพลังเงียบในวาระครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้กำลังเข้าควบคุมตัวคนรุ่นใหม่เหล่านั้น

“ภาพข่าวที่หนูเห็น มันสะเทือนใจหนูมาก มันรู้สึกหดหู่ และมันเกิดคำถามขึ้นเยอะแยะมากมาย ว่าทำไมพวกเขาถูกเจ้าหน้าที่รัฐอุ้มไปแบบนั้น ทั้งที่กิจกรรมที่ทำในวันนั้นคือการไปยืนดูเวลาครบรอบรัฐประหาร เป็นเพียงการทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์แค่นั้นเอง”

หลังเกิดคำถามมากมายในหัว มายด์ก็เริ่มหาคำตอบ เธอเริ่มศึกษาว่าทำไมถึงมีการรัฐประหาร? รัฐประหารส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง?

จากนั้นเธอก็ศึกษาเรื่องการเมืองอย่างจริงจัง จนนำมาสู่การก่อตั้งกลุ่ม “มหานครเพื่อประชาธิปไตย” ออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มนิสิต-นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ท่ามกลางความตกใจของครอบครัว

“เมื่อหนูออกมาเคลื่อนไหวเต็มตัว ทำให้แม่ตั้งตัวไม่ทันในช่วงแรก และแม่ได้บอกกับหนูว่า เราเป็นไม้ซีกจะไปงัดไม้ซุงได้อย่างไร? หนูก็คิดว่าทำไมเราต้องเป็นไม้ซีก? และทำไมเขาต้องเป็นไม้ซุง? แต่เมื่อมาคิดอีกที เราอาจจะเป็นไม้ซีกที่แข็งแกร่งมากๆ ก็ได้ ส่วนเขาอาจจะเป็นไม้ซุงที่ผุแล้วก็ได้”

มายด์ได้ค่อยๆ อธิบายให้คุณแม่ของเธอฟังว่า ตอนนี้กำลังเกิดปัญหาขึ้นในสังคม ประชาชนต้องออกมาพูด แสดงความคิดเห็น โดยยืนยันสิทธิของตัวเอง และในการออกมาเคลื่อนไหวนั้น ครอบครัวถือเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุด กระทั่งคุณแม่เข้าใจและให้กำลังใจลูกสาว

“หนูว่าการต่อสู้กับปัญหาใหญ่ๆ มันน่าจะหนักมาก และหนูอาจจะเป็นคนที่โชคดีมาก ที่ครอบครัวเข้าใจแล้วก็ให้กำลังใจเรา คือตอนนี้ป๊ากับแม่บอกแค่ว่าเอาตัวให้รอด ทำตัวเองให้ปลอดภัย คือเดินอย่างไรก็ได้ แต่ให้มันรอบคอบที่สุด เขาบอกกับเราด้วยความห่วงใยจริงๆ”

“เพราะฉะนั้น สิ่งที่หนูต้องทำก็คือการต่อสู้อย่างกล้าหาญ อย่างชาญฉลาด และรอบคอบที่สุด”

เมื่อสปอตไลต์ฉายส่องหน้า “มายด์ ภัสราวลี” กลายเป็นแกนนำที่มีคนรู้จักเกือบทั้งประเทศ ชีวิตและความเป็นส่วนตัวของเธอก็เปลี่ยนแปลงไป

มายด์เล่าว่า ทุกครั้งที่ไปร่วมชุมนุม จะมีผู้ชายหัวเกรียนๆ ถือกล้องวิดีโอตัวเล็กๆ เดินตามถ่ายภาพเธอทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ตาม

และตอนนี้เธอก็ถูกแจ้งความดำเนินคดีเกือบ 10 คดีแล้ว มีทั้งข้อหายุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116, พ.ร.บ.การชุมนุมฯ, พ.ร.บ.ความสะอาด, การใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต และมาตรา 112 อีก 2 คดี

“หนูเห็นว่าแม้รัฐบาลจะแจกมาตรา 112 กับประชาชนอีกกี่คน ทุกคนก็ยังไปต่อ ไม่มีใครหยุดหรอก เรามาเกินกว่าที่เราจะหยุดง่ายๆ แล้ว มาตรา 112 กับรัฐบาลที่กลั่นแกล้งเราแบบนี้ ยิ่งทำให้เรายิ่งต้องสู้ด้วยซ้ำ เพราะการใช้กฎหมายแบบนี้ ทำให้เราเห็นว่ารัฐบาลนี้ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศเข้าไปอีก”

แต่อีกเรื่องที่ไม่ปกติ นั่นก็คือกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเยี่ยมเยียนบ้านพักของครอบครัว ไปพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเธอ 2 รอบแล้ว และยังพานักจิตวิทยาไปด้วย

มายด์ตั้งคำถามว่า ตำรวจพานักจิตวิทยาไปหาคุณพ่อคุณแม่ของเธอที่บ้านด้วยวัตถุประสงค์อะไร? หรือต้องการกดดันครอบครัวให้มากดดันเธอให้หยุดเคลื่อนไหว?

ถึงแม้จะถูกแจ้งความดำเนินคดีมากมาย แต่ “มายด์ ภัสราวลี” ไม่ได้รู้สึกท้อหรือเหนื่อย เพราะเธอได้ก้าวผ่านจุดอ่อนไหวดังกล่าวมาแล้ว และหากวันไหนเกิดรู้สึกท้อขึ้นมา เธอก็คิดไว้เสมอว่านั่นเป็นพลังลบที่กำลังจะบั่นทอนกำลังใจตนเอง

ดังนั้น สิ่งที่สาววัยเบญจเพสต้องทำในตอนนี้ก็คือ พยายามวิเคราะห์การใช้กฎหมายของฝ่ายรัฐบาลว่าจะเดินเกมกับตนเองและเพื่อนๆ อย่างไร? และมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง

“หนูอยากเป็นคนหนึ่งที่สามารถพูดหรือออกมาเรียกร้องไปกับทุกๆ คนได้ หรือทำให้ทุกคนเห็นว่าเราเป็นคนธรรมดา เราสามารถออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยได้นะ เราสามารถออกมาพูดเรื่องสิทธิของตัวเองได้นะ เราสามารถออกมาพูดอย่างเต็มปากได้ว่า อำนาจในประเทศนี้เป็นของเรานะ”

มายด์เล่าต่อว่า ตัวเองตั้งใจจะทำงานขับเคลื่อนประชาธิปไตยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะลาออกจากตำแหน่งก็ตาม

เธอตระหนักดีว่า งานนี้ไม่ใช่งานระยะสั้นที่จะจบลงง่ายๆ ทว่าเป็นงานระยะยาวที่จะต้องปลูกฝังความคิดลงไปในสังคม และในอนาคต ไม่ว่าเธอจะประกอบอาชีพอะไร มายด์ก็จะเป็นนักเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือทำหน้าที่เป็นพลเมืองไทยควบคู่ไปด้วย

นอกจากนี้ เธอยังฝากข้อความถึงประชาชนว่า ตอนนี้ประเทศของเรา สังคมของเรา กำลังมีปัญหา และกฎหมายที่มีอยู่ไม่ได้เกิดจากฉันทามติและความยินยอมพร้อมใจของประชาชนทุกคน

จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องออกมาพูดคุยกันอย่างจริงจัง เราต้องช่วยกันออกแบบ ช่วยกันแก้ไขสิ่งต่างๆ ด้วยกัน ว่าเราจะอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ได้อย่างไร?

“มันถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะต้องออกมาบอกให้หลายๆ คนรู้และเข้าใจสักทีว่า เราไม่ควรฝากความหวังไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่งหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เราต้องออกมายืนหยัดด้วยตัวเอง ว่าอำนาจเป็นของเรา และเราจะหยิบเลือกใช้เอง ว่าเราจะให้ (อำนาจ) ใคร และไว้วางใจให้ใครมาบริหาร มาอำนวยความสะดวกให้เรา

“และอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นว่า ทุกคนสามารถออกมาพูดถึงปัญหาในสังคม ออกมายืนยันว่า ตอนนี้รัฐบาลทำอะไรไม่ดีบ้าง เราต้องการให้แก้ไขอย่างไร ทุกคนมีความกล้าในตัวเองอยู่แล้ว แค่ใส่ผ้าใบแล้วก็ก้าวออกมา”

“มายด์-ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล” กล่าวทิ้งท้าย