ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
การสลายการชุมนุมวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย
ปลอกกระสุนนานาชนิดจากที่เกิดเหตุคือหลักฐานว่าตำรวจใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตา
ยิ่งกว่านั้นก็คือ นายตำรวจระดับสูงประกาศถึงการใช้กระสุนยางครั้งแรกอย่างเต็มภาคภูมิ
ในปฏิบัติการยิงประชาชนครั้งแรกที่ผ่านไป การยิงเกิดจากความตั้งใจของเจ้าหน้าที่จนมีการสั่งยิงเกิดขึ้นต่อเนื่อง มีคำสั่งหยุดยิง และมีคำสั่งยิงใหม่ติดต่อกันในไม่กี่ชั่วโมงอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ไม่ต้องพูดถึงการส่ายกระบอกปืนมาทิศทางที่นักข่าวอยู่
การยิงจึงไม่ใช่เรื่องจากการขาดสติอย่างแน่นอน
ตรงข้ามกับความเข้าใจผิดๆ ว่ากระสุนยางทำจากยางจนไม่อันตราย กระสุนยางคือกระสุนเหล็กที่หัวกระสุนหุ้มยาง มีพลังรุนแรงเท่ากระสุนจริง
หากยิงตรงจุดสำคัญของร่างกายอาจถึงตาย
และในประเทศก็เคยมีเหตุการณ์ทหารยิงประชาชนที่สี่แยกคอกวัวปี 2553 จน “สันติพงษ์ อินจันทร์” ตาบอดจนปัจจุบัน
ด้วยความภูมิใจของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งควบคุมการสลายการชุมนุม กระสุนเหล็กหุ้มยางคืออาวุธที่ตำรวจจะใช้จัดการผู้ชุมนุมมากขึ้นแน่ๆ
นั่นเท่ากับรัฐบาลไทยจะเป็นรัฐบาลที่ใช้อาวุธประเภทนี้ยิงคนเรียกร้องให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกมากขึ้น ต่อให้การเรียกร้องจะเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนก็ตาม
คุณประยุทธ์ในฐานะนายกฯ และผู้ควบคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่พูดอะไรเรื่องตำรวจยิงคนไทยด้วยกัน คำพูดเดียวที่คุณประยุทธ์พูดคือสื่อให้ข้อมูลด้านเดียวจนสังคมประณามตำรวจ
โลกของคุณประยุทธ์คือโลกชื่อเสียงของตำรวจสำคัญกว่าเรื่องการสั่งให้ตำรวจยิงประชาชนอย่างที่ไม่ควรเป็น
ด้วยท่าทีคุณประยุทธ์และนายตำรวจที่ควบคุมการยิงประชาชน รัฐไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่การเป็นรัฐที่ยกระดับการใช้กำลังกับประชาชน
มิหนำซ้ำทิศทางของการยกระดับยังเดินหน้าสู่การใช้อาวุธที่ประชาชนมีโอกาสพิการหรือเสียชีวิต หรืออีกนัยคือเป็นรัฐที่ขยับจากรัฐเผด็จการเป็นรัฐอันธพาล
คำถามคือ พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยให้รัฐและกลไกรัฐดำเนินไปสู่ทิศทางนี้เพื่ออะไร?
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เผชิญปัญหาวิกฤตการชอบธรรมจนเจียนอยู่เจียนไปตั้งแต่ปี 2563 จากความตกต่ำทางเศรษฐกิจ, โควิดระบาด, ความไม่ยอมรับของประชาชนต่ออำนาจเผด็จการ, ความมัวหมองของรัฐมนตรี ฯลฯ
จนใครๆ ก็พูดกันว่ารัฐบาลอยู่ได้เพราะแบ๊กดี ไม่ใช่เพราะผลงานดี
แน่นอนว่ามีคนสนับสนุนให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ตลอดกาล
แต่ตัวเลขคนเลือกตั้งพรรคหนุนคุณประยุทธ์ในการเลือกตั้ง 2562 ซึ่งต่ำกว่าพรรคไม่หนุนประยุทธ์หลายเท่า สะท้อนว่าคนส่วนใหญ่ไม่เอาประยุทธ์แน่ๆ และยิ่งนานวันคุณประยุทธ์ยังไม่สามารถเพิ่มความศรัทธาในสายตาประชาชนได้เลย
ความไม่ศรัทธาที่ประชาชนมีต่อคุณประยุทธ์เป็นปัญหาพื้นฐานที่คุณประยุทธ์แก้ไม่ตกจนปัจจุบัน และต่อให้ผู้สนับสนุนคุณประยุทธ์ก็ตอบไม่ได้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ประเทศไทยควรมีคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ เพราะเหตุผลทั้งหมดวนเวียนอยู่แค่การด่าทักษิณและธนาธรเท่านั้นเอง
คุณประยุทธ์ไม่ใช่นายกฯ ที่เก่งและดีที่สุดที่ประเทศเคยมี
ซ้ำคุณประยุทธ์ยังไม่มีอะไรเหนือกว่าคนอื่นจนควรเป็นผู้นำประเทศถึงปี 2570 ตามรัฐธรรมนูญที่คุณประยุทธ์กำหนด
การปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อดึงคนที่เก่งและดีมาชดเชยความห่วยของคุณประยุทธ์จึงเป็นมาตรการที่ต้องทำ
แต่กลับไม่ทำ
การติดคุกของสามรัฐมนตรี กปปส.ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ว่างลงถึง 3 ที่อย่างที่ทุกคนรู้กัน แต่ต่อให้คุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, คุณพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ และคุณถาวร เสนเนียม จะพ้นจากผู้บริหารกระทรวงใหญ่ไปตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ คุณประยุทธ์กลับไม่มีสัญญาณปรับคณะรัฐมนตรีให้ดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว
คุณประยุทธ์ไม่เคยชี้แจงว่าเหตุที่ไม่มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีคนใหม่คืออะไร แต่ถ้าทั้งสามคนได้เป็นรัฐมนตรีเพราะความสามารถอย่างที่คุณสุเทพโม้หลังพ้นคุก การสูญเสียคนกลุ่มนี้ก็น่าจะทำให้คุณประยุทธ์รีบแต่งตั้งคนหน้าใหม่มาทดแทนสามรัฐมนตรี กปปส.อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าคุณประยุทธ์จะเฉื่อยชาในการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่เพราะอะไร การกระทำของคุณประยุทธ์คือใบเสร็จว่าคุณณัฏฐพล, คุณพุฒิพงษ์ และคุณถาวร ไม่ใช่รัฐมนตรีที่เก่งหรือมีความสำคัญต่อรัฐบาลมากนัก การไม่มีคนกลุ่มนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่จนต้องรีบหาคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน
คุณประยุทธ์ออกอาการเกรี้ยวกราดทันทีที่สื่อถามเรื่องใครจะมาเป็นรัฐมนตรี
และต้นเหตุของความโกรธเกรี้ยวน่าจะมาจากการไม่สามารถตอบคำถามเรื่องรัฐมนตรีใหม่ได้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประเภทยังหาคนเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ หรือได้แล้วแต่แย่จนไม่อยากให้ใครรู้ก็ตาม
มีรายงานว่า 90 ส.ส.พลังประชารัฐล่ารายชื่อไม่ให้คุณประยุทธ์ตั้งคนนอกมาเป็นรัฐมนตรี
และด้วยจำนวน ส.ส.ที่กล้าระบุต่อคุณประยุทธ์ตรงๆ ว่า คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นเจ้าของอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ ความล่าช้าในการแต่งตั้งรัฐมนตรีสะท้อนความอ่อนแอโดยเปรียบเทียบของคุณประยุทธ์โดยปริยาย
คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ จากการยึดอำนาจซึ่งแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชอบตั้ง “คนนอก” มาเป็นรัฐมนตรี แต่ “คนนอก” ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่มักอยู่กับคุณประยุทธ์ไม่ได้นาน
ส่วน “คนนอก” ที่อยู่กับคุณประยุทธ์ได้นานคืออดีตปลัดที่ไม่มีอะไรโดดเด่นมากกว่าการอวยและแถลงข้างๆ คูๆ
ถ้าคุณประยุทธ์ประสบความสำเร็จในการแต่งตั้ง “คนนอก” แทนสามรัฐมนตรี “คนนอก” เหล่านั้นก็คงเป็นอดีตอธิบดี หรืออดีตปลัดที่เก่งด้านการใช้ลิ้นทำงานมากกว่าจะมีความสามารถจริงๆ จนในที่สุดประเทศจะได้ก็แค่คนแบบคุณดอนเพิ่มขึ้นในรัฐบาลอีก 2-3 คนเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม คุณประยุทธ์ไม่เคยพูดเรื่องการดันคนนอกเป็นรัฐมนตรีแทนคุณณัฏฐพล, คุณพุฒิพงษ์ และคุณถาวร
การล่ารายชื่อของพรรคพลังประชารัฐจึงเป็นการรวมตัวเพื่อแสดงพลังของ ส.ส.และพรรคพลังประชารัฐ หรือพูดตรงๆ คือเป็นการแสดงพลังของบริวาร พล.อ.ประวิตรเท่านั้นเอง
แม้คุณณัฏฐพลและคุณพุฒิพงษ์จะสังกัดพรรคพลังประชารัฐของคุณประวิตร แต่ความจริงแล้วทั้งคู่คืออดีต กปปส.ซึ่งใกล้ชิดกับคุณประยุทธ์กว่าคุณประวิตร
ความเคลื่อนไหวของ ส.ส.พลังประชารัฐในการสกัดไม่ให้คุณประยุทธ์ตั้ง “คนนอก” จึงทำไปเพื่อประกาศแสนยานุภาพบางอย่างออกมา
ถ้าพลังประชารัฐประสบความสำเร็จในการสกัดไม่ให้คุณประยุทธ์ตั้ง “คนนอก” มาแทนคุณณัฏฐพลและพุฒิพงษ์ โอกาสที่คนของพลังประชารัฐจะเป็นรัฐมนตรีแทนสองคนนั้นก็มีมากขึ้น
หรือพูดตรงๆ คือ โอกาสที่รัฐมนตรีช่วยของคุณประวิตรจะเป็นว่าการ และ ส.ส.จะได้เป็นรัฐมนตรีช่วยสักที
ด้วยการปรับคณะรัฐมนตรีแบบนี้ คุณประยุทธ์ไม่มีทางทำให้เกิดรัฐบาลซึ่งประชาชนเห็นแล้วอุ่นใจ รัฐมนตรีใหม่อย่างคุณธรรมนัส พรหมเผ่า, คุณสันติ พร้อมพัฒน์ หรือคุณนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ไม่ใช่คนที่สร้างคะแนนนิยมได้ การปรับคณะรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นจึงทำให้นายกฯ ยิ่งดูแย่ลงเพราะแต่งตั้งคนแย่ให้ตำแหน่งใหญ่กว่าเดิม
คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ บนการสร้างความเกลียดชังนักการเมืองว่าโง่, เลว, ทำผิดกฎหมาย และโกยผลประโยชน์ แต่ด้วยวิธีที่คุณประยุทธ์ดิ้นรนให้ตัวเองได้เป็นนายกฯ พรรคที่หนุนคุณประยุทธ์คือพรรคที่รวมนักการเมืองแบบนี้มากที่สุดจนคุณประยุทธ์เป็นแค่หัวหน้าก๊กเหล่านั้นเท่านั้นเอง
ไม่ว่า ส.ส.คนไหนจะได้เป็นรัฐมนตรีช่วย และรัฐมนตรีช่วยคนไหนจะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ สิ่งเดียวที่สังคมจะได้หลังการปรับคณะรัฐมนตรีคือรัฐบาลที่แย่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ใน “ระบอบประยุทธ์”
ซึ่งยิ่งอยู่นานยิ่งไม่สามารถสร้างคะแนนนิยมในหมู่ประชาชนได้เลย
ม็อบที่ถูกสลายชุมนุมในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีการพูดว่าจะชุมนุมอีกในวันที่ 6 มีนาคม และถึงแม้การชุมนุมครั้งที่แล้วจะจบด้วยกระสุนยางและแก๊สน้ำตาจนสหประชาชาติต้องเตือนคุณประยุทธ์ให้หยุดเรื่องนี้ แต่การชุมนุมครั้งหน้าก็คงมีคนร่วมไม่น้อยกว่าเดิม ต่อให้จะมีการพูดว่าการชุมนุมมีจุดอ่อนอย่างไรก็ตาม
เจ็ดปีที่คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ คือเจ็ดปีที่ความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อคุณประยุทธ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสังคมเหมือนกาน้ำที่รอระเบิด ม็อบคือเครื่องมือในการระบายออกซึ่งความอัดอั้นที่รอปะทุในสังคมไทยจนแม้กระทั่งการใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตาอาจไม่มีผลสกัดการรวมตัวอีกต่อไป
ด้วยการยกระดับใช้ความรุนแรงกับประชาชน คุณประยุทธ์ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเกิดการเผชิญหน้าที่เหตุการณ์แบบปี 2553 อาจกลายเป็นเรื่องเด็กเล่น เพราะความขี้เท่อและไม่เข้าท่าของรัฐบาลจะผลักดันให้คนออกมาต่อต้านรัฐบาลแน่ๆ ตราบใดที่คุณประยุทธ์ยังเป็นนายกฯ ต่อไป
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในระบอบประยุทธ์ สถานีต่อไปหลังจากนี้คือการเลือกตั้ง
หรือไม่อย่างนั้นก็คือการเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ซึ่งสยดสยองเกินกว่าจะพูดว่าคืออะไร