3 ป. จัดทัพ ครม. พปชร. ร้าวลึก ทัพไทยกรุ่นๆ ‘บิ๊กแก้ว’ จัดทัพใหม่ ทายาททหารม้าคอแดง ‘สุวิทย์’ ชิง ‘ทรงวิทย์’ / รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

3 ป. จัดทัพ ครม.

พปชร. ร้าวลึก

ทัพไทยกรุ่นๆ

‘บิ๊กแก้ว’ จัดทัพใหม่

ทายาททหารม้าคอแดง

‘สุวิทย์’ ชิง ‘ทรงวิทย์’

 

การเมืองกำลังร้อนแรง ไม่ใช่แค่การปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 2/3” ที่กำลังฝุ่นตลบและทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น

แต่เพราะเป็นครึ่งทางของรัฐบาลบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 2 ปีแล้ว ไม่นับการเป็นนายกฯ มา 5 ปีในรัฐบาล คสช.

จึงมีกระแสข่าวการยุบสภาในอีกไม่ช้า ในหมู่นักการเมืองคาดกันว่า เร็วสุดคือปลายปีนี้ หรือในปีหน้า โดยที่รัฐธรรมนูญยังคงเป็นฉบับเดิม เพื่อความได้เปรียบของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยังมีสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในมือ 250 คน

จึงมีความเคลื่อนไหวคึกคักในการตั้งพรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่ได้มีแค่ในฝ่ายค้าน ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เช่น พรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือพรรคของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ 4 กุมารเท่านั้น

แต่ในฝั่งรัฐบาลและคนใกล้ตัวของพี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ก็มีความเคลื่อนไหว ที่ถูกมองว่าเป็นการเตรียมตั้งพรรคการเมืองใหม่

ทั้งกระแสข่าวที่พี่น้อง 3 ป.มอบให้บิ๊กฉิ่ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดมหาดไทย มือขวาบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เตรียมตั้งพรรคใหม่

แม้ว่านายฉัตรชัยจะเคยออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม ว่าไม่เคยคิดตั้งพรรค และตนเองก็ยังเป็นข้าราชการอยู่ก็ตาม

แต่ปรากฏความเคลื่อนไหวในหมู่แวดวงของคนมหาดไทย โดยเฉพาะในภาคใต้พูดกันถึงพรรคใหม่พรรคนี้กันแล้ว อีกทั้งนายฉัตรชัยก็กำลังจะเกษียณ

กล่าวกันว่าด้วยความเป็นคนใจกว้าง แม้เป็นพลเรือน แต่ก็ถูกเรียกว่าบิ๊กฉิ่ง หรือพี่ฉิ่ง ที่ชอบช่วยเหลือทุกคน จึงทำให้มีกองเชียร์สนับสนุนจำนวนไม่น้อย

มองกันว่าอนาคตของพรรคพลังประชารัฐอาจไม่ยั่งยืน พี่น้อง 3 ป.จึงต้องเตรียมหาพรรคใหม่มารองรับ

ทั้งนี้เพราะพรรคพลังประชารัฐมีหลายกลุ่มหลายก๊วน หลายพวก แม้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ในฐานะหัวหน้าพรรคจะประกาศว่าพรรคมีความเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกภาพ ไม่มีสามก๊ก มีแต่ก๊กเรา ไม่มีวันแตก ตราบใดที่ผมยังอยู่ก็ตาม

แต่ความขัดแย้งภายในยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการปรับคณะรัฐมนตรีเช่นนี้ มีการแย่งชิงเก้าอี้กันแบบที่ พล.อ.ประวิตรต้องกุมขมับ

หลายครั้ง พล.อ.ประวิตรต้องห้ามศึก ห้ามทัพ เพราะมีการทะเลาะกันของ รมต.ต่อหน้าหัวหน้าป้อมถึงขั้นจะซัดหน้ากัน หนักบ้างเบาบ้าง บางกรณีก็สาหัสสากรรจ์ แบบที่บิ๊กป้อมจำฝังใจ

จนเป็นที่จับตามองกันว่า จะส่งผลให้มีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐใหม่ หลังจากศาลพิพากษาจำคุกในคดี กปปส. จนทำให้ตั้น ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ต้องหลุดเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการ และบี พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หลุดเก้าอี้ รมว.ดิจิทัลฯ

ปมนี้นำมาซึ่งความไม่แฮปปี้ของกลุ่ม กปปส.ในพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นที่นายพุทธิพงษ์โพสต์เฟซบุ๊ก หมดแรง หมดใจ หมดศรัทธา สิ่งที่ทำไปมันไร้ค่า ที่ถูกมองว่าน้อยใจที่ถูกลอยแพโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เพราะใครๆ ก็คาดคิดว่า ถ้าเลือกฝั่งมาอยู่กับพี่น้อง 3 ป. ก็ไม่น่าจะโดนแบบนี้ แม้แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังโดน

แต่ พล.อ.ประวิตรก็มองแค่ว่าเป็นการน้อยใจในโชคชะตาของนายพุทธิพงษ์เอง

อีกทั้งความรู้สึกของนายณัฏฐพลที่หลุดทั้งเก้าอี้รัฐมนตรี และพ้นสภาพการเป็น ส.ส. และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง โดยเฉพาะนางทยา ทีปสุวรรณ ภรรยา ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ตามที่ตั้งใจได้

ที่ทำให้บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. และรู้กันดีว่าได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.ประวิตร ไม่มีนางทยามาแย่งตัดคะแนน

ไม่แค่นั้น ยังพบรอยร้าวในพรรคพลังประชารัฐ เมื่อมีข่าวสะพัดว่าเสี่ยแฮงค์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งเสี่ยเฮ้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน จะหลุดเก้าอี้ในการปรับ ครม.นี้ และจะหลุดเก้าอี้กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐด้วย

จากที่เคยมีข่าวว่า นายอนุชาจะได้เลื่อนชั้นขยับขั้นนั่ง รมว.กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่เพราะ พล.อ.ประวิตรไม่พอใจในเรื่องความเป็นคนใจร้อนของนายอนุชา จึงทำให้เกิดกระแสข่าวหลุดเก้าอี้

แต่ต้องไม่ลืมว่า หาก พล.อ.ประวิตรทำเช่นนั้น พรรคพลังประชารัฐคงจะแตกแน่นอน

เหล่านี้จึงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เกิดความเคลื่อนไหวของ ส.ส.บางกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐ ในการแยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่

โดยเฉพาะกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ถือว่าเป็นคีย์แมนคนสำคัญในพรรคและเป็นมือขวาของ พล.อ.ประวิตร ในการควบคุมดูแลสองกลุ่มต่างๆ ในพรรค รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลพรรคเล็ก จนถูกมองว่าเป็นคนเลี้ยงลิง คนแจกกล้วย

เพราะในแง่ทุนรอนและคอนเน็กชั่นของ ร.อ.ธรรมนัสแล้ว สามารถที่จะแยกไปตั้งพรรคขนาดกลางได้เลย เพราะรู้กันดีว่ามี ส.ส.ในมือราว 40 คน

อิทธิฤทธิ์ของ ร.อ.ธรรมนัสปรากฏให้เห็นในการโหวตญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ได้คะแนนโหวตเท่ากับ พล.อ.ประวิตร และมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จนถูก พล.อ.ประยุทธ์แซวว่า ให้เป็นนายกฯ ไปเลย

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันว่าเป็นการพูดแหย่แซวเล่น เพราะส่วนตัวแล้ว พล.อ.ประยุทธ์สนิทสนมกับ ร.อ.ธรรมนัส และเรียกติดปากว่านัสเสมอ

แต่กระแสข่าวที่ออกมากลับกลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ประชดประชัน และไม่พอใจ

เพราะหาก ร.อ.ธรรมนัสแยกตัวแยกวงออกจากพรรคพลังประชารัฐไปตั้งพรรคใหม่ของตนเองจริงๆ ก็จะกระทบความแข็งแกร่งของพรรคพลังประชารัฐและฐานอำนาจของพี่น้อง 3 ป.ไม่น้อย เพราะ ร.อ.ธรรมนัสคือมือทำงาน มือถือกล้วย มือเดินเกมของ พล.อ.ประวิตรเลยทีเดียว

ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ ร.อ.ธรรมนัสมองว่าพี่น้อง 3 ป.คงจะไม่วางตัวให้ตนเองเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในอนาคต เพราะอาจมีทายาทไว้ในใจแล้ว จึงตั้งพรรคใหม่

แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่อาจเป็นกลยุทธ์แตกแบงก์พันของ พล.อ.ประวิตร อดีตทหารเสือราชินีเก่า ที่วันนี้กลายเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว ในการตั้งพรรคการเมืองสำรองไว้มากกว่าหนึ่งพรรคก็เป็นได้ โดยให้ ร.อ.ธรรมนัสดำเนินการ ควบคู่ไปกับพรรคในสายมหาดไทย

ในการปรับ ครม.ครั้งนี้ จึงวัดพลังของ ร.อ.ธรรมนัสด้วย ในการขึ้นชั้นเป็น รมว.ไม่ว่าจะกระทรวงใด โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องเอาเก้าอี้ รมว. และ รมช. ไปแลกกระทรวงกับพรรคประชาธิปัตย์

เพราะ พล.อ.ประวิตรก็อยากให้ ร.อ.ธรรมนัสคุมเต็มตัวเต็มมือ เพราะจะเข้าถึงพี่น้องประชาชน เกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน เอื้อต่อการสร้างคะแนนนิยม

เพราะในอนาคต หากพี่น้อง 3 ป.ถอย หลังนั่งเป็นรัฐบาลครบ 2 เทอมแล้ว ไม่มีทายาทมาสานต่อ พรรคพลังประชารัฐอาจจะแตกสลาย กลายเป็นโอกาสของพรรคขนาดกลางต่างๆ โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยของเสี่ยหนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรค ที่กำลังมาแรง หลังได้คะแนนโหวตไว้วางใจในสภามากที่สุด และยังมีผลงานในการแก้ปัญหาโควิดอีกด้วย

ที่สำคัญ ยังคงถูกมองว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในอนาคตเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าพอแล้ว และไม่วางทายาทไว้

เพราะเวลานี้ บรรดานายทหารเก่าอย่างบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง อดีต ผบ.ทบ. ยังคงถูกจับตามองว่าจะหวนคืนสู่การเมืองในอนาคตหรือไม่

เพราะบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 20 ก็กำลังสยายปีกทางการที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์เตรียมยึดเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.

โดยที่มีบิ๊กปั๊ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เพื่อนซี้เป็น ผบ.ตร. ที่เกษียณ 2565 และมีบิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน เป็น ผบ.ทร. และยังมีบิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ เสนาธิการทหารบก ที่คาดว่าจะข้ามมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ เพื่อน ตท.20 ที่จะเกษียณกันยายนนี้

โดยที่ พล.อ.ณัฐก็ถือว่าเป็นน้องรักมือขวาที่ พล.อ.ประวิตรไว้วางใจอย่างมาก

และนายทหารเหล่านี้ยังคงมีเพาเวอร์ในกองทัพ เพราะบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด และบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ก็เป็นน้องรักของ พล.อ.อภิรัชต์

พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด

หันมาดูการแต่งตั้งโยกย้ายทหารกลางปี หรือที่เรียกว่าโผเมษาฯ ที่แม้จะเป็นโผเล็กๆ แค่กว่า 200 คนเท่านั้นก็ตาม

แต่ในส่วนของกองบัญชาการกองทัพไทย ดูจะฮอตสุด เพราะมีการปรับเปลี่ยนหลายตำแหน่งสำคัญ ที่บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด คนก่อนจัดวางเอาไว้ ที่อาจจะผิดฝาผิดตัวอยู่บ้าง

โผนี้ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด จึงมีการขยับใหม่ โดยคาดกันว่าจะขยับบิ๊กอ๊อด พล.ท.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผบ.ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ผบ.ศรภ.) มาเป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร แทนบิ๊กแมว พล.ท.เชาวลิตร สังฆฤทธิ์

ด้วยเพราะมองกันว่า พล.ท.กนกพงษ์ที่เคยเป็น ผบ.รร.เตรียมทหาร น่าจะเหมาะกับงานกิจการพลเรือน มากกว่างานการข่าวกรองอย่าง ศรภ.

แล้วขยับบิ๊กน้อย พล.ท.วัฒนะ พลจันทร์ ผบ.ศูนย์ต่อต้านก่อการร้าย (ผบ.ศตก.) อดีตทหารรบพิเศษหมวกแดง และลูกหม้อ ศรภ. กลับมาเป็น ผบ.ศรภ. นั่งคุมหน่วยที่ได้ชื่อว่า CIA เมืองไทย

ที่น่าจับตามองคือ พล.อ.เฉลิมพลขยับบิ๊กบุ๋ม พล.ต.สุวิทย์ เกตุศรี เป็นรอง ผบ.วิทยาลัยเสนาธิการทหาร ขึ้นเป็นพลโท ในตำแหน่ง ผบ.ศตก.แทน

ที่ยิ่งทำให้น่าจับตาเพราะ พล.ต.สุวิทย์เป็นน้องรักทหารม้าของ พล.อ.เฉลิมพล เพราะโตมาจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ด้วยกัน

โดยการโยกย้ายตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา พล.อ.เฉลิมพลดึงตัว พล.ต.สุวิทย์มาจาก ทบ. มาจากรองแม่ทัพภาคที่ 1 มาอยู่กองทัพไทย ที่คาดว่า พล.อ.เฉลิมพลได้มองอนาคตของ พล.ต.สุวิทย์ที่จะสามารถขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไปได้ เพราะ พล.อ.เฉลิมพลเกษียณราชการกันยายน 2566 ส่วน พล.ต.สุวิทย์เกษียณกันยายน 2568

ที่สำคัญคือ พล.ต.สุวิทย์ อดีต ผบ.พล.ม.2 รอ.คนนี้ ถือเป็นนายทหารคอแดงด้วย เรียกได้ว่าสามารถขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดได้ และจะเป็น ผบ.ทหารสูงสุด คอแดงคนที่ 2

เพียงแต่ต้องรอดูว่า ในโยกย้ายกันยายน 2564 บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. จะตัดสินอนาคตของบิ๊กอ๊อบ พล.ท.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รอง เสธ.ทบ. อย่างไร

พล.ต.สุวิทย์ เกตุศรี

เพราะเดิมการที่ พล.ท.ทรงวิทย์ถูกย้ายจากรองแม่ทัพภาคที่ 1 มาเป็นรอง เสธ.ทบ. เมื่อโยกย้ายตุลาคม 2563 พลาดเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 นั้น ถูกมองว่า จะถูกขยับจาก ทบ. ข้ามมาอยู่กองบัญชาการกองทัพไทยในการโยกย้ายปลายปีนี้ เพื่อเตรียมมาจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุด

เผื่อแยกกันโตกับบิ๊กต่อ พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ รุ่นพี่เตรียมทหาร 23 น้องรักสายทหารเสือราชินีของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และถือว่าเข้าไลน์ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ที่จะเกษียณกันยายน 2566

แต่มาตอนนี้ พล.อ.เฉลิมพลดูจะวางตัว พล.ต.สุวิทย์ให้เข้าไลน์ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดด้วยอีกคน

พล.ต.สุวิทย์เป็นนายทหารม้า รุ่นพี่เตรียมทหาร 23 ส่วน พล.ท.ทรงวิทย์เป็นทหารราบ รุ่นน้องเตรียมทหาร 24 และจบจากนายร้อย VMI สหรัฐอเมริกา

แต่ทั้งคู่เกษียณกันยายน 2568 พร้อมกัน และยังเป็น “ทหารคอแดง” ที่อยู่ในหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) เช่นกัน

ดังนั้น หาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ยอมที่จะให้ พล.ท.เจริญชัยขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อจากตนเองในอนาคตตามที่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. ได้วางตัวเอาไว้ ก็อาจจะต้องส่ง พล.ท.ทรงวิทย์ข้ามไปอยู่กองบัญชาการกองทัพไทยแล้วไปชิงเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุดกับ พล.ต.สุวิทย์อีกที

แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าก่อนหน้านี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์สนับสนุน พล.ท.ทรงวิทย์ให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แต่ตอนนั้น พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ.ตัดสินใจที่จะให้ พล.ท.เจริญชัยซึ่งเป็นรุ่นพี่และอาวุโสกว่าขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก่อน แล้วโยก พล.ท.ทรงวิทย์มาติดยศพลโทในตำแหน่งรอง เสธ.ทบ.

แถมนับวันก็ปรากฏร่องรอยแห่งระยะห่างทางใจของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กับ พล.ท.เจริญชัยมากขึ้นๆ จึงทำให้มีลุ้นว่า ในอีก 6 เดือนข้างหน้า พล.อ.ณรงค์พันธ์จะตัดสินใจอย่างไร

 

แต่ทว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ก็หาใช่ผู้ที่จะตัดสินใจจัดโผได้เพียงลำพัง ไม่เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ก็ยังมีเพาเวอร์อยู่ รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่ได้เป็นแค่นายกฯ แต่เป็น รมว.กลาโหมด้วย

โผโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลกลางปีครั้งนี้ในส่วนของกองทัพบกจึงยังไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนัก เพราะมีการขยับตำแหน่งหลักน้อยมากตามธรรมชาติของโผเมษาฯ

เช่น การขยับบิ๊กแยม พล.ท.ปราการ ปทะวานิช จาก ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ขึ้นมาเป็นพลเอก เพื่อเตรียมลงตำแหน่งรอง ผบ.ทบ. หรือประธานที่ปรึกษากองทัพบกในโยกย้ายตุลาคมนี้ เพราะ ทบ.ขาดพลเอกที่จะมาลงในตำแหน่ง อัตราพลเอกพิเศษ หรืออัตราจอมพลเดิม และมีการขยับทั้งบิ๊กแป้ง พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ รอง ผบ.ทบ. และบิ๊กเดฟ พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผช.ผบ.ทบ. และบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธรรมนูญ วิถี ผช.ผบ.ทบ. ที่จะเกษียณ

ส่วนบิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ เสนาธิการทหารบก ก็ต้องข้ามไปเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมแทน พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ เพื่อน ตท.20 ที่จะเกษียณราชการ

โดยคาดว่าบิ๊กแบล็ค พล.ต.อิทธิพล สุวรรณรัฐ รอง ผบ.นรด. เพื่อนเตรียมทหาร 22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะขึ้นเป็น ผบ.นรด. หรือแม่ทัพภาคที่ 7 คนใหม่แทน

และ พล.ต.ธิรา แดหวา ผบ.มทบ.41 / รอง ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อน ตท.22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4

โผโยกย้ายเมษาฯ ปีนี้ถือว่าทำเร็ว โดยผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ส่งบัญชีรายชื่อทั้งหมดให้ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ รมว.กลาโหม ในการประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลของกระทรวงกลาโหม หรือบอร์ด 7 เสือกลาโหม เมื่อ 2 มีนาคมที่ผ่านมาแล้ว

โดยบัญชีรายชื่อทั้งหมดราว 200 นาย อยู่ในขั้นตอนด้านธุรการของกระทรวงกลาโหม และเตรียมส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่เกิน 15 มีนาคมนี้

จัดแถวกองทัพให้เสร็จสิ้น ตามสูตร พล.อ.ประยุทธ์จะได้ไปสู้ศึกการเมืองเรื่องม็อบ และการปรับ ครม.ได้แบบไม่ต้องพะวงหลัง

เพราะตราบใดที่ยังมีกองทัพและตำรวจให้อิงพิงหลังอยู่ มี พล.อ.อภิรัชต์อยู่เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ก็อุ่นใจได้