คำ ผกา | ตั๋วของประยุทธ์และพวก

คำ ผกา

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทางการเมืองตอนนี้ เราต้องไม่ลืมว่าการรัฐประหารปี 2557 นั้นตั้งอยู่บนจุดมุ่งหมายที่ว่ารัฐประหารมาแล้วต้อง “ไม่เสียของ”

ซึ่งแปลว่า ต้องทำทุกอย่างให้การรัฐประหารเป็นบันไดไปสู่การครองอำนาจถาวรของ “อำนาจประเพณีนิยม”

เหตุที่ฉันใช้คำว่า “อำนาจประเพณีนิยม” เพราะการต่อสู้ทางการเมืองของไทยไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย

แต่เป็นการต่อสู้กันระหว่างอุดมการณ์ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเป็นเจ้าของประเทศ

กับอุดมการณ์ที่เห็นว่าประชาชนควรเป็นได้แค่ “ไพร่” ไม่ใช่เจ้าของประเทศ หน้าที่ของไพร่คือ มีชีวิตเพื่อรักและตอบแทนบุญคุณ “ประเทศชาติ” และ “รัฐบาล”

อำนาจประเพณีนิยมเข็ดหลาบแล้วกับการปล่อยให้ประเทศไทยเบิกบานกับประชาธิปไตยในช่วงสั้นๆ ระหว่างปี 2540-2549 ที่ชนบทเข้มแข็ง ระบบราชการมีประสิทธิภาพ ทว่าไม่มีความน่ายำเกรงใดๆ ต่อประชาชน พรรคการเมืองเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น โดยเฉพาะพรรคไทยรักไทยมีแนวโน้มจะเป็นเหมือนพรรคแอลดีพีของญี่ปุ่น ที่สร้างประชาธิปไตยกินได้จนกลายเป็นขวัญใจมหาชน (แม้ไม่ถูกใจปัญญาชน) และอาจชนะการเลือกตั้งติดต่อกันได้หลายสิบสมัยต่อเนื่อง

ประชาชนกับสถาบันการเมืองอย่างพรรคการเมือง และสภาผู้แทนราษฎรจะมีความหมายต่อกันเชิงผลประโยชน์และอำนาจจนสถาบันทางประเพณีอื่นๆ จะค่อยๆ หมดความหมายไปโดยปริยาย ทั้งตามกาลเวลาและบารมีส่วนบุคคลที่หมดไปพร้อมอายุขัยของคนนั้นๆ

พูดให้ง่ายคือ สำนึกแห่งความเป็นไพร่จะถูกทดแทนด้วยสำนึกแห่งพลเมือง จนลักษณะแห่งความเป็นไพร่จะหมดไปจากสังคมไทยโดยปริยาย

ซึ่งเรื่องแบบนี้เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจประเพณีนิยม

เครือข่ายของอำนาจทางประเพณีนิยมจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการทำรัฐประหารในปี 2549 และเมื่อไม่สะเด็ดน้ำจึงตามมาด้วยการรัฐประหารปี 2557 ที่มาพร้อมกับแผนงานที่รัดกุม รอบด้าน ละเอียดลออกว่าเดิม

เป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารนั้นจะไม่เป็นที่ยอมรับจากสากลโลก อำนาจประเพณีนิยมและปัญญาชนของพวกเขาจึงต้องคิดออกแบบระบบรัฐสภาและระบบการเลือกตั้งที่สามารถ “ฝัง” องคาพยพที่เป็นหัวใจของการปกครองแบบประเพณีนิยม

นั่นคือ คงความเป็นไพร่ไว้กับประชาชนอย่างแน่นแฟ้น ยั่งยืน อย่าให้โงหัวขึ้นมาเป็นพลเมือง เป็นเจ้าของประเทศ

อย่าให้โงหัวขึ้นมาคิดได้ว่า เออ เราต้องสามารถกำหนดทิศทางอนาคตประเทศได้ด้วยตัวเอง

ดังนั้น โจทย์ของพวกเขาคือ ต้องมีการเลือกตั้งที่แขนขาของอุดมการณ์ประเพณีนิยมจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้ง แต่กล่าวอ้างได้ว่า

“ฉันมาตามวิถีทางประชาธิปไตย ฉันคือรัฐบาลและนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง”

รัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกออกแบบมาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ เพื่อสอดใส่เนื้อตัว ร่างกาย หัวจิตหัวใจของการเมืองการปกครองแบบโบราณไว้ใต้เสื้อคลุมของประชาธิปไตยและการเมืองระบอบรัฐสภา

เรื่องปาหี่แบบที่หัวหน้า คสช.คัดสรรวุฒิสมาชิก 250 คนมาเพื่อเลือกตัวเองกลับไปเป็นนายกฯ

ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว การเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสมที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครแน่ใจว่าระบบ “ปัดเศษ” ให้เป็น ส.ส.นั้นคำนวณกันยังไงกันแน่ (มิพักต้องถามว่า ไพบูลย์ นิติตะวัน ได้รับกี่คะแนนเสียงจากประชาชนแล้วเข้ามาเป็น ส.ส.ในโควต้าคะแนนอะไรยังไงของพรรคพลังประชารัฐ)

แค่การคำนวณปาร์ตี้ลิสต์จากบัตรเลือกตั้งใบเดียวก็ทำให้ ส.ส.ในสภาหลายสิบคนไม่ได้เป็น ส.ส. ที่สะท้อนคะแนนหรือเจตจำนงในการเลือกผู้แทนราษฎรของตัวเอง

ยังไม่นับว่า วุฒิสมาชิก 250 คนนั้นไม่ได้เป็นตัวแทนเสียงของใครเลยนอกจากเสียงของฝ่ายที่ต้องการระบอบการปกครองที่มีประชาชนเป็น “ไพร่”

นี่ยังไม่นับองค์กรอิสระทั้งปวงที่ถูกออกแบบมาเพื่อความมั่นคงสถาพรของอำนาจทุกอำนาจ ยกเว้นอำนาจของประชาชน

สุดท้ายด้วยความเขย่งเกงกอย เราได้รัฐบาลที่ผู้เล่นตัวจริงคือ คีย์แมนของ คสช. 3 คนคือ ประยุทธ์ ประวิตร อนุพงษ์ มาพร้อมกลุ่มการเมืองในสภา 250 คนในนามของวุฒิสมาชิกจากการสรรหา มีเสียงหนึ่งในสามของสภา

ส่วนพรรคพลังประชารัฐคือการเอาเครือข่ายของอำนาจประเพณีนิยมไป “เล่น” ในสนามเลือกตั้งเพื่อไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นอำนาจเผด็จการ

สิ่งที่รัฐธรรมนูญนี้ออกแบบไว้คือ ทำให้อำนาจและอุดมการณ์การเมืองโบราณสามารถแฝงฝังตัวเองไว้ในรูปแบบของการเมือง “ประชาธิปไตย” ดังที่สลิ่มชอบบอกว่า ตอนนี้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง หรือแม้แต่บอกว่าคน 8/3 ล้านคนเลือกประยุทธ์มาเป็นนายกฯ ทำได้แม้กระทั่งทำให้ประยุทธ์และ ครม.ของประยุทธ์ ได้รับ “ความไว้วางใจ” จากสภา หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

จากนั้นก็สามารถไปกล่าวอ้างได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดว่า “ประชาธิปไตยคือการเคารพเสียงข้างมาก ดังนั้น เสียงข้างมากในสภาไว้วางใจประยุทธ์ พวกฝ่ายค้านและพวกที่เชียร์ฝ่ายค้านควรจะหุบปากได้แล้ว”

จากนั้นก็กล่าวอ้างได้อีกว่า ฝ่ายค้านอยากมีอำนาจทางการเมือง จึงพยายามทำให้ทุกอย่างเป็น “เกมการเมือง” เพื่อทำลายประยุทธ์และพวกที่เหน็ดเหนื่อยทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง

ในครรลองของการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ แม้ฝ่ายค้านจะแพ้โหวตในสภา แต่ถ้าถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้านด้วยข้อมูลที่แจ่มชัดละเอียดลออ ถึงความไร้ประสิทธิภาพ ความฉ้อฉล ความบกพร่องของรัฐบาลขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถุงมือยาง เรื่องคิงส์เกต เรื่องวัคซีน ก็ค่อนข้างมั่นใจว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า โอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะชนะการเลือกตั้งนั้นน่าจะยากมาก

แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาให้พรรคการเมืองอ่อนแอ พรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา สุดท้ายก็กลายเป็น “พรรคประยุทธ์” และเป็นตะกร้าล้างน้ำให้กลุ่มการเมืองประเพณีใช้เป็นขื่อเป็นแปสร้างบ้านประชาธิปไตยปลอมๆ มาตบตาชาวโลก

สุดท้ายพรรคการเมืองเหล่านี้หมดศักยภาพในการลงหลักปักฐานผลงาน นโยบายที่จะทำให้พรรคของตนเข้มแข็งในฐานะผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงหรือผู้ที่นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน นับวันก็จะกลายเป็นแขนขาของอำนาจประเพณีนิยม

การเมืองแบบนี้จึงนำมาซึ่งการแสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้น กินได้กิน โกงได้โกง ซื้อได้ซื้อ ขายได้ขาย

นักการเมืองไม่มีแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว เช่น พรรคไทยรักไทยเคยทำโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรคสำเร็จ จนกลายเป็นแบรนด์ของพรรค และจะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้ครองอำนาจรัฐยาวๆ แรงจูงใจของพรรคการเมืองที่จะลงทุนทางนโยบายเพื่อครองอำนาจรัฐด้วยตนเองไม่มี มีแต่ผลประโยชน์สั้นๆ เร็วๆ หยาบๆ

สุดท้ายธุรกิจที่ดีที่สุดของการเป็นนักการเมืองยุคนี้คือการเป็นงูเห่า และการซื้อ-ขายงูเห่า

ผลกระทบต่อสุขภาพทางการเมืองของคนไทยในระยะยาวคือ เราจะเข้าสู่วงจรการเมืองแบบลงทุน-ถอนทุนในระยะสั้น การซื้อเสียง ขายเสียง ไปจนถึงการขายตัวของ ส.ส. ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบ

เมื่อไม่มีนักการเมืองคนไหนอยากลงทุนยาวๆ ผ่านนโยบาย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จะไม่มีนักการเมือง ส.ส. หรือรัฐมนตรีที่ทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ทว่าเข้ามาเพื่อทำฟาร์มงูเห่าไปวันๆ

ผลก็คือ ประชาชนก็จะยากจนลงเรื่อยๆ

เมื่อยากจนลงเรื่อยๆ ก็เข้าสู่วงจรขายสิทธิ ขายเสียงให้นักการเมืองฟาร์มงูเห่า วนกันไปเป็นวงจรอุบาทว์

จากนั้น อีลิตไทยที่เอนจอยความล่ำซำจากการเมืองประเพณีก็จะบอกว่า “คนไทยลำบากเพราะนักการเมืองเลว นี่แหละ บอกแล้วว่าประชาธิปไตย ไม่ใช่การเมืองที่เหมาะสมกับคนไทย”

ระบบ “ไพร่” และ “นาย” ในนามของระบบอุปถัมภ์ก็จะปรากฏตัวอย่างแจ่มชัด

ระบบราชการจะใหญ่โต คำว่าข้าราชการคือเจ้าคนนายคนก็จะกลับมา และเราก็จะเห็นคน “กินเมือง” กันเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ใหญ่สุดไปจนระดับล่างสุด

คนแย่งกันเป็นข้าราชการเงินเดือนสองหมื่นเพราะตำแหน่งเงินเดือนสองหมื่นนำมาซึ่งอำนาจเอาไว้เรียกรับผลประโยชน์ได้เป็นแสนเป็นล้านต่อเดือน

เงินแสน เงินล้าน เงินหลายล้านก็จะถูกส่งส่วยต่อไปยังนายใหญ่ๆ ที่อยู่ข้างบนกันเป็นทอดๆ

มีทางเดียวที่จะทำให้เราหลุดจากวงจรอุบาทว์อันนี้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การรู้ทันระบบเปลี่ยนประชาชนให้เป็นไพร่

แก้รัฐธรรมนูญให้อำนาจเป็นของประชาชนไม่ได้ เราก็จะถูกทำให้กลายเป็นไพร่อยู่อย่างนี้

ถ้าเราเห็นพรรคเพื่อไทย เห็นพรรคอนาคตใหม่ เห็นพรรคประชาชาติ แล้วเรารู้สึกว่า เออ วิสัยทัศน์แบบนี้สิควรบริหารประเทศ สิ่งที่เราต้องทำคือ สู้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อชัยชนะของประชาชน ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจของระบบกินเมือง

รัฐธรรมนูญ 2560 คือ “ตั๋วพิเศษ” ของประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวก ที่เราต้องแก้ให้เป็น “ตั๋ว” ที่พาประชาชนไปเถลิงอำนาจแทน.