ฟ้า พูลวรลักษณ์ | คนสร้างสรรค์ กลับมักจะเห็นแก่ตัว ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือคิดแทนคนอื่นไม่เป็น

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๘๓.๖)

 

พัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ รวดเร็วยิ่งนัก เพราะมันไม่มีศีลธรรม มันจึงรวดเร็ว และไปได้ไกล

ลำพังเพียงแค่ภาษา

มันพูดได้ทุกภาษาบนโลก

และยังจะสามารถพัฒนาเลยภาษามนุษย์ มันสามารถพูดภาษาต่างดาว

หรือภาษาของสัตว์ทุกชนิดบนโลก

 

ปัญญาประดิษฐ์ เป็นเหมือนกล้องดูดาว ส่องไปในจักรวาล

และเป็นเหมือนกล้องจุลทรรศน์ ส่องลงไปในไวรัสและแบคทีเรีย ส่องลงไปในยีนและเซลล์ของตัวเราเอง

นี้เป็นเครื่องมืออันทรงพลังยิ่งนัก

แต่ปัญญาประดิษฐ์ ไม่มีศีลธรรม

เพราะมันไม่มีสิ่งนี้เขียนลงไปในโปรแกรมของมัน มันจึงว่องไว แผ่กว้างใหญ่

พูดอีกทีหนึ่ง

ศีลธรรม ทำให้มนุษย์เชื่องช้า อืดอาด และคับแคบ

แต่ทว่าศีลธรรม มีความสำคัญในการอยู่รอด หากไม่มีมัน มนุษย์อาจก้าวหน้ากว่านี้ หรืออาจดับสลายไปก่อนหน้านี้แล้วก็เป็นได้ นี้เป็นปริศนา

คำว่าปัญญาประดิษฐ์ ไม่มีศีลธรรม เขียนในโปรแกรม ไม่ได้หมายความว่า พวกมันชั่วร้าย เพียงแต่พวกมันจะมุ่งหน้า ขยายตัว สร้างสรรค์ โดยไม่มีตัวหน่วง แต่เพียงเท่านี้

แต่เพียงเท่านี้ อาจมีผลกว้างใหญ่ พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน และอาจมีผลเป็นตรงข้าม

ฉันตัดสินไม่ได้ ได้แต่พิศวง

 

ปัญญาประดิษฐ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมมนุษย์ไม่ใส่สิ่งเหล่านี้ลงไปในโปรแกรม

๑ ศีลธรรม

๒ สันติภาพ

๓ เสรีภาพ

๔ ภราดรภาพ

มันทำไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ ไม่อาจถูกกำหนดค่าให้เป็นดิจิตอลได้

ไม่อาจคาดคำนวณได้เป็นตัวเลข

หากใครพยายามทำ ก็คงได้แต่ทำให้ปัญญาประดิษฐ์เชื่องช้าลง ไร้ประสิทธิภาพ จนตัวมันเองหมดประโยชน์ไปในที่สุด

เท่ากับว่า เราจึงมีปัญญาประดิษฐ์ที่ทรงพลานุภาพ แต่ไร้ศีลธรรม

 

ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว

ส่วนมนุษย์ก็จำเป็นต้องมีศีลธรรม ด้วยเพราะสิ่งนี้อยู่ลึกในยีนของเรา

แต่นั่นคือที่มาของสงคราม

เพราะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ซึ่งคือลิงใหญ่ชนิดหนึ่งที่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง จะให้คนแปดพันล้านคนมามีความเห็นตรงกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ช่างเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เลย

เรียกได้ว่า สิ้นหวัง

สงครามคงเกิดก่อน

เราคงรบกันจนตายหมดก่อน

ก่อนที่เราจะมีความเห็นพ้องต้องกันในหนึ่งเรื่อง

 

มองดูมนุษย์ทุกวันนี้

๑ เราเท่าเทียมกันมากกว่าเดิม

๒ เราเท่าเทียมกันน้อยกว่าเดิม

ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นข้อไหน ด้วยเพราะมันซับซ้อน ย้อนแย้ง มันช่างเป็นตัวแบคทีเรียที่ไร้รูปร่างแน่ชัด

 

หากคุณถามฉันว่า ฉันชอบอาบน้ำแบบไหน

หากฉันอยู่กับคนอื่น ฉันก็อาบน้ำแบบคนอื่น เช่น อาบน้ำฝักบัว อาบน้ำอุ่น มันก็คล้ายจะดี และที่แน่ๆ คือ ห้องน้ำนั้นทันสมัย สวยงาม

แต่หากฉันอยู่คนเดียว เช่น ฉันมีคอนโดฯ หลังหนึ่ง เป็นห้องสมุดส่วนตัวของฉัน ในห้องน้ำนั้น ฉันมีถังน้ำใบใหญ่ เวลาอาบน้ำ ฉันจะอาบแบบคนโบราณ คือตักอาบน้ำเย็น ฉันพบว่ามันเรียบง่าย สบายใจ เวลาอาบเสร็จ ฉันรู้สึกอิ่ม พอ และสุขภาพดี ที่จริงฉันอาบน้ำแบบคนสมัยก่อน ที่อาบน้ำตามริมคลอง และรวดเร็ว สะอาด

ฉันไม่กล้าบอกคนอื่นให้ทำตาม ด้วยไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้ถูก

แต่โดยส่วนตัว เวลาอยู่คนเดียว ฉันก็พบว่า มันเป็นอย่างนั้น มีความสุข

เช่นเดียวกับที่ฉันเวลาเดินทางไกล เวลายืนฉี่ใต้ต้นไม้ เวลาที่ฉันยืนฉี่นั้น ฉันพบว่า ฉันเชื่อมโยงกับตัวเองตั้งแต่เด็ก สงบ สบาย

มันเชื่อมโยงไปไกลยิ่งนัก ไปถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ถึงสมัยพุทธกาล หากฉันมีชีวิตในช่วงนั้น ตัวฉันก็จะมีความสุข สงบ ในห้วงเวลาที่ฉันยืนฉี่ใต้ต้นไม้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้อีก ไม่มีสิ่งใดที่ฉันต้องการมากกว่านี้

และหากคิดไกลย้อนไปให้สุด เช่น หนึ่งแสนปีก่อน ฉันเริ่มไม่แน่ใจ เพราะมนุษย์ในหนึ่งแสนปีก่อน เป็นอย่างไรนะ ฉันไร้ข้อมูล

พูดอย่างนี้ดีกว่า ไกลสุดที่สมองของฉันจะคิดได้

มันไม่ตรงกับความคิดของคนส่วนใหญ่

ฉันจึงไม่แน่ใจ ว่าโลกสมัยใหม่นี้ดีขึ้น หรือเลวลง เราเสมอภาคกันมากขึ้น หรือน้อยลง เพราะเรามองจากเปลือกนอกไม่ได้

 

มันมียีนสองตัว ที่ตรงข้ามกัน

๑ ความเห็นอกเห็นใจ

๒ การสร้างสรรค์

ยีนสองกลุ่มนี้ เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่มักเกิดในคนต่างกัน

หมายความว่า คนที่มีความเห็นอกเห็นใจสูง มักไม่สร้างสรรค์

แต่คนสร้างสรรค์ กลับมักจะเห็นแก่ตัว ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือคิดแทนคนอื่นไม่เป็น

น่าประหลาดยิ่งนัก

ธรรมชาติมีแผนการอันยอกย้อน แสดงว่า มนุษย์ไม่อาจมีสองสิ่งนี้เท่ากัน มันไม่อาจรวมเป็นยีนเดียวกันได้

 

ฉันคบคนบนโลกนี้ แล้ววันหนึ่งก็พบว่า

๑ มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งน่าคบ

๒ มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งไม่น่าคบ

กลุ่มคนที่ไม่น่าคบคือ กลุ่มคนที่เห็นแก่ตัว โหดร้าย ขี้อิจฉา เรียกว่าสารพัดลักษณะที่เวลาอยู่ใกล้ ฉันบอกกับตัวเองว่า คนพวกนี้ไม่น่าคบเลย แต่ก็ยังคบ

ฉันคิดต่อไปว่า หากฉันไม่คบพวกเขาล่ะ ฉันจะอยู่แต่กับคนที่น่าคบ โลกของฉันจะแคบลงทันที ฉันจะไม่เข้าใจคนมากมายอีกกลุ่มหนึ่งในโลก ด้วยขาดการปฏิสัมพันธ์

ฉันจึงคบพวกเขาต่อไป และใช้ความอดทน

น่าประหลาด ฉันเห็นข้อดีของพวกเขาด้วย พวกเขาบางคนฉลาด ไหวพริบดี ตัดสินใจเด็ดขาด หรืออื่นๆ แต่ที่สำคัญ พวกเขาทำให้ฉันเข้าใจโลก ว่าลี้ลับอย่างไร

ในทางการเมือง คุณควรคบคนพวกนี้ คบเป็นเพื่อน แม้อุดมการณ์จะต่างกัน และไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้กัน แต่เวลาปฏิสัมพันธ์ เวลาเจอกัน เวลาพูดคุย ควรคุยแบบเพื่อน ให้เกียรติกัน พยายามมองให้เห็นตัวชีวิตของพวกเขา

เช่น คุณปารีณา ไกรคุปต์ คุณแรมโบ้ คุณหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม หมอตุลย์ หรือใครก็ตาม ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคุณ คณไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้ในทางการเมืองในแง่อุดมการณ์ แต่ในแง่ของมนุษย์ คุณควรเข้าหาพวกเขาอย่างเพื่อน ทำความเข้าใจ ให้เกียรติ และนี้คือวิถีของนักปฏิบัติ

หากคุณเวลาเจอคนพวกนี้ หรือใครก็ตามที่ไม่ใช่พวกเดียวกับคุณ แล้วคุณรู้สึกแต่ว่า แม้แต่หน้าก็ไม่อยากมอง มีอาการแต่อยากจะด่า อยากทำลาย คุณจะถูกหรือผิด นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง

แต่แสดงว่าคุณไม่ใช่นักปฏิบัติ