จับตาศึกสีกากี สะเทือน 3 ป. สะท้านกองทัพ วัดพลัง 2 อำมาตย์ วัดฝีมือ ‘บิ๊กป้อม’ สยบศึก พปชร. เคลียร์ใจ ‘อนุทิน-เนวิน’ / รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

จับตาศึกสีกากี

สะเทือน 3 ป.

สะท้านกองทัพ

วัดพลัง 2 อำมาตย์

วัดฝีมือ ‘บิ๊กป้อม’ สยบศึก พปชร.

เคลียร์ใจ ‘อนุทิน-เนวิน’

 

แม้จะเป็นเรื่องในแวดวงสีกากี แต่สะท้อนสะเทือนทั้งกองทัพ สะท้านไปถึงทำเนียบรัฐบาลเลยทีเดียว

เพราะเกิดปรากฏการณ์ภูเขาน้ำแข็ง ที่จะทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำ

จากกรณีตั๋วช้าง ที่มีเอกสารหลักฐานหลุดออกมาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ที่ถูกมองว่ามีคนวงในปล่อยเอกสารหลุด เพราะเอกสารเช่นนี้ผ่านมือเพียงแค่ไม่กี่คน ที่มีทั้งที่อยู่ในราชการ และที่เกษียณไปแล้ว

และส่งผลให้บิ๊กคนดังถูกจับตามองอีกครั้ง เพราะเคยเจอพิษตั๋วช้างจนกระเด็นกระดอนมาแล้ว

รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างบิ๊กใหม่ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. กับบิ๊กต่อ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.สอบสวนกลาง

จนทำให้บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่คุมตำรวจเองเครียดและอารมณ์ไม่ค่อยดี ด้วยเพราะการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ปัญหาพรรคร่วม และใน ครม. ก็วุ่นอยู่แล้ว มาเจอศึกสีกากีอีก

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์เรียกบิ๊กปั๊ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มาพบที่รัฐสภาและที่ทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งต้องเดินทางไปพบหารือบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยตนเอง

ก่อนที่จะมาบอกนักข่าวว่า “ไม่มีความขัดแย้งอะไรหรอก เดี๋ยวก็ทำให้มันถูกต้อง”

แต่ติงว่า บางครั้งเอกสารบางอย่างมันก็ไม่ควรจะออกมา อย่างไม่ควรจะออก เพราะมันเป็นเรื่องการดำเนินการภายใน

“ใครจะเสนออะไรมาก็ได้ แต่ก็เป็นเรื่องการพิจารณาของ สตช. ได้หรือไม่ได้ ก็ว่ากันไปตามนั้น มีการตรวจสอบคัดกรองคุณสมบัติต่างๆ ด้วย ไม่ใช่ว่าขออะไรมาแล้วก็ได้หมด” นายกฯ ระบุ

ที่สำคัญ นายกฯ ไม่ได้ปฏิเสธปัญหาระหว่าง พล.ต.อ.สุชาติ และ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ แต่จะเรียกมาพูดคุยหรือไม่ เป็นเรื่องของนายกฯ เอง

“เอาไว้ฉันทำของฉันอยู่แล้ว นายกฯ ทำทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่ถ้าจะทำให้เร็วขึ้น ตอบคำถามให้ได้ นักข่าวก็เรียกเขามาคุยเองสิ คุณเป็น ผบ.ตร.หรือเปล่า ถ้าไม่ได้เป็น ก็ไม่ต้องพูดมาก”

กระแสข่าวต่างๆ นานาสะพัดว่อนทั้งใน สตช. ทำเนียบรัฐบาล และกองทัพ ว่า 2 นายพลสีกากีที่งัดข้องัดพลังกันอยู่นี้ ใครจะอยู่ ใครจะไป

เพราะฝ่ายหนึ่งก็มั่นใจในหลักฐานพยานที่แน่นหนา

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ยืนยันในความถูกต้องและถูกกลั่นแกล้ง

แถมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มีภารกิจ ว.5 เป็นระยะๆ ที่ถูกจับเชื่อมโยงกับศึกสีกากี เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องรีบเคลียร์ ไม่เช่นนั้นแล้วจะ “เข้าตัว”

ที่ต้องยอมรับคือ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์เป็นตำรวจดาวรุ่งจรัสแสง ภาพลักษณ์ดี รักลูกน้อง ที่จ่อจะขึ้น ผบ.ตร.ต่อจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ ที่เกษียณกันยายน 2565 ได้

ด้วยความเป็นนายตำรวจน้องชาย พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง

ขณะที่ พล.ต.อ.สุชาติเป็นเพื่อน ตท.20 ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แม้จะเคยชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.กันมา และหาก พล.ต.อ.สุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุตกเก้าอี้ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุชาติขึ้นเสียบแทนก็ได้ เพราะทั้งคู่เกษียณกันยายน 2565 พร้อมกัน

และยังถือว่าเป็นเพื่อนบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวังด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ค่อยสนิทสนม

เพราะ พล.อ.อภิรัชต์สนิทสนมอย่างมากกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ และบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.

จึงไม่แปลกที่งานนี้ พล.ต.อ.สุชาติจะถูกมองว่ามีแผงเพื่อน ตท.20 เป็นกองหนุน

ขณะที่ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ถูกมองว่าเป็นนายตำรวจที่มีบารมีในสายตำรวจมหาดเล็กรักษาพระองค์ และจ่อขึ้น ผบ.ตร. แม้จะไม่ได้จบนายร้อยตำรวจ

การวัดพลังครั้งนี้ ส่งผลให้บรรดานายทหารในกองทัพ ที่ล้วนเป็นเพื่อนเตรียมทหารกับ พล.ต.อ.สุชาติ ถามไถ่และให้กำลังใจกัน

โดยที่ พล.ต.อ.สุชาติก็ดูมั่นใจในข้อมูลที่มีอยู่ แม้จะมีกระแสข่าวลือว่าจะถูกเด้งก็ตาม

ขณะที่อีกฝ่าย ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ก็ทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ นานา

ประการหนึ่ง ถูกมองว่า เป็นการชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. หรือการสกัดดาวรุ่ง เพราะเมื่อใดที่ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ขึ้น ผบ.ตร. ก็จะทำให้สายตำรวจนี้ คุม สตช. โดยมีการมองกันไปถึงการวางทายาทตำรวจมาต่อคิวโตกันไว้เลย รวมทั้งผู้การก้อง พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.สอบสวนกลาง

กล่าวกันว่า ศึกสีกากีในครั้งนี้มีคนอยู่บนภู ดูเสือกัดกัน

จนเป็นประเด็นที่ทหารในกองทัพจับตามอง และทำให้บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พูดคุยในที่ประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่มี พล.ต.อ.สุวัฒน์ร่วมด้วย กำชับเรื่องการวางตัว การประพฤติปฏิบัติตนตามธรรมเนียมประเพณี ค่านิยมระเบียบวินัย เพื่อให้เป็นทหารและตำรวจที่ดีของประชาชน

อีกทั้งยังมีการวิพากษ์เปรียบเทียบกับกองทัพ ที่เคยผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านนี้มาแล้ว

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ทบ. ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงใน ทบ.

ตั้งแต่ พล.อ.อภิรัชต์ไปฝึกหลักสูตรทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นาน 3 เดือน และกลายเป็นทหารคอแดง และเป็นนายทหารพิเศษประจำ ทม.รอ.904

เมื่อขึ้น ผบ.ทบ. จึงได้เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ในการเตรียมกำลังและวางโครงสร้าง ฉก.ทม.รอ.904 ที่เป็นเหมือนกองทัพบกที่ทำงานควบซ้อน

และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ว่า ผบ.ทบ.ต้องเป็นนายทหารคอแดง และต่อมาด้วยบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่เป็นทั้งทหารคอแดง และเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย

และขยายมาที่ บก.ทัพไทย ที่มีบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพลเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เป็นทหารคอแดงคนแรก และเชื่อกันว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่ต้องมีคนต่อไปเกิดขึ้น

แต่ทว่ากองทัพมีการปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปและกลมกลืน ด้วยการตั้ง ฉก.ทม.รอ.904

แม้จะมีเสียงบ่นเบาๆ ใน ทบ.อยู่บ้าง แต่ที่สุด กองทัพก็เริ่มปรับตัวได้

แต่ตำรวจได้ถูกทำให้เป็นเรื่องการเมือง และใช้ฝ่ายค้านให้เป็นเครื่องมือในการจัดการสีกากีกันเอง เพื่อยังคงทำให้การเมือง รัฐบาล ยังคุมตำรวจได้ต่อไปเช่นเดิม

ไม่ใช่แค่เรื่องตำรวจที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เครียด แต่การเมืองซึ่งกำลังเข้มข้นก็ทำให้อารมณ์เสียบ่อยๆ

ทั้งปัญหาในพรรคพลังประชารัฐ หลังจากที่ 7 ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์โหวตงดออกเสียงให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จนกลายเป็นปัญหาระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทย

ถึงขั้นที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยประกาศชัดว่าพรรคภูมิใจไทยติดใจต่อกรณีนี้ และต้องการรอดูว่าพรรคพลังประชารัฐที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนจะลงโทษ ส.ส.กลุ่มนี้อย่างไร และตอกย้ำว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี

ก่อนหน้านี้ นายศักดิ์สยามและนายอนุทินก็เคยมีปัญหากับสื่อค่ายใหญ่ของมาดามเดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี แกนนำกลุ่มมาก่อนแล้ว

ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่พอใจของนายเนวิน ชิดชอบ พี่ชายของนายศักดิ์สยาม และเป็นผู้มีบารมีนอกพรรคภูมิใจไทย

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เอ่ยปากว่าต้องมีการพบปะกินข้าวร่วมกันของหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งในไม่ช้า

 

แต่มีรายงานว่า ปกติ พล.อ.ประวิตรจะไปรับประทานข้าวที่โรงแรมพูลแมน ถนนรางน้ำเป็นประจำอยู่แล้ว ที่คาดกันว่าจะได้มีการเคลียร์ใจกันเกิดขึ้น

เพราะบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐร้อนใจ ที่ต้องตามแก้ปัญหา จนถึงขั้นประกาศในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค จะไล่ออก ส.ส.กลุ่มนี้ แต่ในทางกฎหมายแล้วทำไม่ได้ จึงยืนยันกับนายอนุทินไปว่า “เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

หลังจากที่ พล.อ.ประวิตรเคยประกาศว่า ตราบใดที่ผมยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ พรรคพลังประชารัฐจะเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว ไม่มีแตกแยก

ไม่แค่นั้น ยังส่อเค้าความขัดแย้งระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่รู้กันดีว่าเป็นผู้ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเล็ก ที่น่าจะบริหารจัดการเรื่องคะแนนโหวตไม่ให้น้อยจนเกินไป

แต่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ กลับได้คะแนนไว้วางใจต่ำที่สุด ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านั้น และพุ่งเป้าไปที่ผู้กองธรรมนัส

โดยหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์แซวว่า “ได้คะแนนเยอะ คราวหน้านัสเป็นนายกฯ นะ” หลังเสร็จศึกอภิปรายที่สภา

แต่ข่าวที่ออกมากลับกลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ประชดประชัน ร.อ.ธรรมนัส

จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาแก้ข่าวว่า พูดแซว แหย่เล่น ร.อ.ธรรมนัสเท่านั้น ขออย่าเอามาเป็นประเด็นเพราะตนเองไม่ได้ให้ความสำคัญว่าใครจะได้คะแนนโหวตมากหรือน้อย ขอแค่ผ่านก็พอ

ประเด็นนี้ส่งผลให้ ร.อ.ธรรมนัสข้องใจว่า ข่าวที่บิดเบือนในลักษณะนี้ออกมาได้อย่างไร และสงสัยรัฐมนตรีที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์และได้ยินคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์

แถมทุนเดิมก็ไม่ค่อยแฮปปี้กับ ส.ส.ในกลุ่ม กปปส.อยู่แล้ว จึงทำให้เกิดความรู้สึกหวาดระแวงและไม่มองหน้ากันเกิดขึ้น

อีกทั้งเป็นจังหวะที่ศาลตัดสินคดี กปปส.แล้ว นายณัฏฐพลถูกจำคุก และต้องหลุดจาก รมว.ศึกษาธิการ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หลุดจาก รมว.ดีอีเอส นายถาวร เสนเนียม หลุดจาก รมช.คมนาคม

ที่ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องปรับคณะรัฐมนตรี และคาดกันว่าจะเป็นการปรับใหญ่

โดยมีชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน และเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ลูกเลิฟของ พล.อ.ประวิตร ลุ้นขยับชั้นขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการ

โดยมีข่าวออกมาว่า มีชื่อนางนฤมลลุ้นเป็น รมว.ศึกษาธิการเลยทีเดียว

แต่เก้าอี้เหล่านี้เป็นโควต้าของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. กองหนุนสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์

จึงถูกจับตามองว่า พล.อ.ประวิตรหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและผู้จัดการรัฐบาล จะเจรจาเขย่าปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ และขอแลกกระทรวงหรือไม่ หรือจะยึดเก้าอี้เลย

 

แม้การปรับคณะรัฐมนตรีจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก่อนที่จะปรับได้นั้น ก็ต้องให้ พล.อ.ประวิตรเจรจาต่อรอง เลือกคนเสียก่อนอยู่ดี

สถานการณ์ทางการเมืองแบบนี้ท้าทายความสามารถของการเป็นนักการเมืองและบารมีของ พล.อ.ประวิตรพี่ใหญ่ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลอย่างยิ่ง

ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องใช้ศิลปะในการเป็นผู้นำเพื่อประคองสถานการณ์ในคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลให้อยู่ร่วมกันต่อไปได้