ปฏิกิริยาจากคดีเปรี้ยว : วงค์ ตาวัน

บุคคลระดับนายกรัฐมนตรีถึงกับให้ความเห็นว่า สื่อเสียเวลาในการนำเสนอข่าวเหตุการณ์แก๊งเปรี้ยวฆ่าหั่นศพมากเกินไป จนทำให้ไม่มีเรื่องดีๆ เสนอเป็นข่าว อย่างนี้แล้วต่างชาติจะมองบ้านเราเป็นอย่างไร ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย

นอกจากนี้ ยังมีคนบางกลุ่ม บางวงการ มีอาการวิตกกังวลกับข่าวแก๊งเปรี้ยวเป็นอย่างมากว่า เกรงว่าเยาวชนจะถือเป็นไอดอล เอาไปเป็นแบบอย่าง

โดยอ้างว่าเพราะสื่อได้นำเสนอกลุ่มสาวผู้ต้องหา ในด้านรูปร่างหน้าตาสวยงาม มีชีวิตเสพสุข

แถมเมื่อจนมุมถูกควบคุมตัวมาดำเนินคดี ก็ไม่ได้มีบรรยากาศว่ายอมสำนึกในความผิดที่กระทำไป บางจังหวะยังมีสีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนาน

มีการแต่งหน้าแต่งตัวก่อนออกสื่อเสียอีก

“เหล่านี้คือปฏิกิริยาที่มีต่อข่าวเหตุการณ์อันโด่งดังในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา!”

เป็นปฏิกิริยาจากคนที่ห่วงใยสังคม โดยคนเหล่านี้มีหลักคิดคือต้องเน้นให้สังคมเชิดชูคนเฉพาะที่เป็นคดีมีศีลธรรมจริงๆ

คนที่กระทำผิดไปฆ่าคนตาย ไปหั่นศพคนอย่างนี้ ไม่สมควรจะได้รับการนำเสนอเป็นข่าวในด้านที่มีสีสันกุ๊กกิ๊ก

ต้องมีแต่ด้านมืด ต้องมีแต่ด้านเลว และพูดถึงที่สุดต้องเสนอในเชิงประณามสาปแช่ง

“ต้องเรียกร้องให้ประหารตายตกไปตามกัน อะไรแบบนี้กระมัง!!”

แต่คนอีกจำนวนไม่น้อย มองปรากฏการณ์ข่าวนี้ว่า เป็นไปตามธรรมชาติของเหตุการณ์ ประกอบกับโลกยุคใหม่ ที่คนจำนวนมากมีเรื่องราวชีวิตของตัวเองโชว์หราอยู่ในโซเชียลมีเดีย

อย่างเช่น กรณี น.ส.ปรียานุช หรือเปรี้ยว โนนวังชัย ซึ่งคนทั่วไปสามารถเข้าไปดูความเป็นไปในชีวิตได้โดยง่าย ผ่านทางโซเชียล เพราะได้โพสต์อะไรไว้มากมายตั้งแต่ก่อนจะไปฆ่าคนตายแล้ว

ดังนั้น ระหว่างที่ตามความคืบหน้าการติดตามจับกุมเปรี้ยวและเพื่อน เป็นเรื่องปกติที่ใครก็อยากเข้าไปส่องดูว่า หญิงสาวโหดเหี้ยมรายนี้มีชีวิตอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร มีความคิดทัศนคติอย่างไร ทำไมจึงตกเป็นผู้ต้องหาที่ก่อคดีอำมหิตได้ขนาดนี้

“นี่คือความเป็นไปของโลกยุคดิจิตอล”

และไม่ใช่แค่แก๊งเปรี้ยวแก๊งเดียว ในยุคนี้แทบทุกคดีเมื่อใครเป็นผู้ต้องหา ทุกคนก็ต้องรีบส่องหาเรื่องราวชีวิตในเฟซบุ๊กโดยอัตโนมัติ

ส่วนชีวิตจริงจะเป็นเช่นไร หรูหราฟู่ฟ่าเฟี้ยวฟ้าวขนาดไหน

ย่อมแล้วแต่ความเป็นจริงของคนนั้นๆ

โดยข้อเท็จจริงด้านต่างๆ และการรับสารภาพของกลุ่มผู้ต้องหาเอง ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้วว่า แก๊งเปรี้ยวได้ลงมือฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม เพื่อนร่วมวงการพนักงานคาราโอเกะอย่างแน่นอน โดยความโกรธแค้นซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกรณีสาวโหดรายนี้พัวพันกับการค้ายาเสพติด

ยิ่งตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้มากมาย เชื่อว่ายิ่งดิ้นไม่พ้นคดี

เชื่อว่าจะต้องโดนลงโทษสถานหนักอย่างแน่นอน

“แต่จะโทษหนักขนาดไหน ขึ้นกับศาลจะเป็นผู้ตัดสิน!”

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปยังวันพบศพของน้องแอ๋มเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่บริเวณป่าสาธารณะข้างทาง ใกล้หมู่บ้านโนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น

ลักษณะของศพถูกหั่นเป็น 2 ท่อน ยัดใส่ถุงดำและใส่ถัง แล้วเอามาฝังดินแยกกัน 2 จุด แต่ไม่ได้ห่างกันมากนัก

แม้แต่ลักษณะการฝังก็ไม่ได้ลึกมาก ทำให้มีกลิ่นโชยออกมา จนชาวบ้านที่ผ่านไปมาได้กลิ่นศพชัดเจน จึงแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ

เมื่อตำรวจนำศพมาประกอบกัน ก็รู้ได้ไม่ยากว่าเหยื่อที่ถูกฆ่าหั่นนั้น รูปพรรณสัณฐานที่ครบถ้วนเป็นอย่างไร แถมมีรอยสักเห็นชัดเจนอีก

เรื่องราวจึงกระจ่างอย่างรวดเร็ว นำมาสู่การคลายคดีได้เร็ว และติดตามจับกุมกลุ่มที่ก่อเหตุได้ฉับไว

“มีนายตำรวจบางคนกล่าวเอาไว้ตั้งแต่พบศพแล้วว่า คนร้ายมีลักษณะเหี้ยมโหด แต่ไม่ใช่มืออาชีพ!”

เพราะโดยปกติ คนร้ายที่ลงมือฆ่าเหยื่อแล้วหั่นศพนั้น ต้องมีเจตนาเพื่อซ่อนเร้น อำพรางศพ โดยมักจะหั่นหลายท่อน แล้วแยกไปทิ้งคนละทิศคนละทาง เพื่อให้ยากต่อการตรวจพิสูจน์ได้ว่าเหยื่อนั้นเป็นใคร

“แต่รายนี้หั่น 2 ท่อน แล้วเอามาฝังไม่ไกลกันอีก!?”

มีความเป็นไปได้ที่ไม่ใช่มืออาชีพ

หรือไม่ก็แค่ต้องการหั่นศพเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น

จนเมื่อชัดเจนว่า น.ส.ปรียานุชหรือเปรี้ยว คือผู้นำทีมฆ่าหั่นศพ ก็ตรงกับที่ตำรวจสันนิษฐานไว้ตั้งแต่ต้น

น่าจะเป็นเพราะการใช้ชีวิตที่หวือหวา ฝักใฝ่การใช้ความรุนแรง ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล จนฆ่าคนตายอย่างไม่มีเหตุอันควร

แล้วก็หาทางอำพรางศพด้วยการหั่น แต่ก็ไม่ใช่มืออาชีพเพียงพอ

แต่ข้อเท็จจริงในข่าวเรื่องนี้ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ทุกอย่างก็กระจ่างชัดอยู่แล้วว่า แก๊งเปรี้ยวคือกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุอำมหิต และต้องหลบหนีความผิดที่ก่อไว้ ต้องเผ่นข้ามแดนไป จนสุดท้ายก็ไปไม่รอด

เป็นเรื่องราวของกลุ่มที่เรียกกันว่าเป็นฆาตกรแน่ๆ

“จึงไม่ได้มีอะไรที่จะต้องไปกังวลเลยว่า จะมีเยาวชนเอาเป็นแบบอย่าง”

คนที่คิดห่วงใยในประเด็นนี้ ก็คือคนที่มองสังคมตามกรอบเก่าๆ

เหมือนยุคที่เห็นว่าเรื่องเพศต้องปกปิด ไม่ให้เด็กได้รับรู้ ไม่งั้นใจแตก กลับกลายเป็นว่า ทำให้เด็กไปมั่วสุมทางเพศกันเองอย่างผิดๆ ยิ่งก่อปัญหาให้สังคมมากขึ้น นั่นเองทำให้ผู้ใหญ่หัวเก่ายอมรับปัญหา ยอมเปลี่ยนมุมมอง มาสู่ยุคที่ต้องให้เรียนรู้ เพื่อเข้าใจอย่างเท่าทัน และหากจะมีเพศสัมพันธ์ควรป้องกันให้ถูกวิธีอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา

ดังนั้น เหตุการณ์แก๊งเปรี้ยวก็เช่นกัน ไม่มีใครปกปิดข้อมูลที่เต็มว่อนสังคมโซเชียลได้ และเยาวชนส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครเห็นข่าวนี้แล้วรู้สึกอยากเป็นฆาตกรหั่นศพกันหมดหรอก

“เป็นความห่วงใยที่ไม่อยู่บนความจริง”

ความเป็นจริงของสังคมนั้นบอกว่า คดีอาชญากรรมเกิดขึ้นทุกวัน การฆ่ากันตายมีทุกวัน วันละหลายศพ เพียงแต่จะเป็นเหตุใหญ่หรือเหตุเล็ก

ไม่เฉพาะในบ้านเรา แทบทุกประเทศทั่วโลกก็มีคนฆ่ากันตายทุกวัน

“อาจจะยกเว้นประเทศในย่านสแกนดิเนเวีย ที่กำลังจะปิดเรือนจำ เพราะไม่ใช่คนกระทำผิด ไม่มีนักโทษใช้บริการ!!”

แต่ส่วนใหญ่ของทั้งโลก มีอาชญากรรมทุกวัน

“นี่คือความเป็นจริงของสังคมมนุษย์”

รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศ ไม่ต้องมากังวลกับการเป็นข่าวของข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงในวันนี้หรอก

“แต่ต้องคิดแก้ไขลดอาชญากรรมลงไปให้ได้ ด้วยการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้เท่าเทียมให้ได้”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายรายได้ให้กว้างไกลและเสมอภาคทั่วประเทศ เพื่อทำให้สังคม ชุมชน และสถาบันครอบครัวทั่วทุกแห่งกลับมาเข้มแข็ง

หยุดคนชนบทที่ต้องหนีอดตายเข้ามาแย่งกันทำงานใน กทม. ให้ได้ ทำให้ต่างจังหวัด ภูมิภาค และชนบท มีเศรษฐกิจที่อยู่ได้ด้วยตัวเองเมื่อไร

พ่อแม่ลูกอยู่บ้านกันพร้อมหน้าอบอุ่นเมื่อไร

จะลดปัญหายาเสพติด อาชญากรรม ได้อย่างทันตาเห็น!