ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี/ญาดา อารัมภีร
หวยสักวา (1)
‘หวย’ เป็นการพนันของจีนที่หยั่งรากฝังลึกในสังคมไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3
ผู้ออกหวยคนแรกในเมืองไทย คือ ‘เจ้าสัวหง’ ‘เจ๊สัวหง’ หรือ ‘จีนหงพระศรีไชยบาน’ ตำแหน่งนายอากรสุราซึ่งต่อมากลายเป็นนายอากรหวยคนแรกของไทย
นิสัยชอบการพนันของคนไทยทำให้การเล่นหวยกระจายโลดทุกหนทุกแห่ง เมื่อหวยกับผู้สืบสานพุทธศาสนาสัมพันธ์กันอย่างแพร่หลาย รัชกาลที่ 4 ได้ทรงออกประกาศฉบับที่ 190 “ห้ามพระสงฆ์ไม่ให้บอกใบ้แทงหวยแลประพฤติอนาจาร” ณ วันจันทร์ เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีวอกโทศก
โดยกำหนดโทษทั้งผู้กระทำ พระชั้นผู้ใหญ่และผู้รู้เห็นไว้ว่า
“…แต่นี้สืบไปพระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ เจ้าหมู่ทุกคณะ เจ้าอธิการในกรุงนอกกรุงทุกๆ พระอารามทราบหมายประกาศนี้แล้วช่วยว่ากล่าวสั่งสอนพระสงฆ์ สามเณร อย่าให้บอกใบ้แทงหวยทำช่างทองรูปพรรณต่างๆ เป็นการจ้างหากินอย่างฆราวาส อย่าให้นุ่งห่มผ้าคฤหัสถ์เที่ยวกินเหล้าใส่หมวกจีโบ (=หมวกทำด้วยขนสัตว์หรือไหมพรม สวมคลุมหัว มีช่องด้านหน้า เปิดตาและจมูก ใช้กันหนาว) เที่ยวแทงโปแทงถั่วตามโรงจีนแลประเทศที่ใดๆ ก็ดี อย่าให้มีผิดขึ้นได้ในพระอารามเป็นอันขาด ถ้ามีอยู่ในพระอารามใด พระครูฐานานุกรม เจ้าหมู่เจ้าคณะ เจ้าอธิการอย่าปิดบังอำพรางไว้ จับตัวมาส่งยังเจ้าคณะ เหนือ ใต้ กลาง วัดพระเชตุพนจงทุกๆ เรื่องอย่าประมาท…ฯลฯ…ถ้าราชบุรุษเขาจับตัวเอามาได้หรือมีผู้มาร้องเรียนรู้จักชื่อว่าอยู่วัดใดอารามใดแล้ว จะให้ปรับหมายทำทัณฑกรรมกับพระครู ฐานานุกรม เจ้าคณะ เจ้าอธิการอุปัชฌาย์อาจารย์วัดนั้นๆ แล้วจะต้องปรับหมายให้เสียรังวัดเหมือนเช่นวัดมหาธาตุ ถ้าภิกษุสามเณรอยู่กุฏีใกล้เคียงกันรู้เห็นแล้ว ไม่เอาความมากราบเรียนกับเจ้าคณะผู้ใหญ่ให้แจ้ง ก็จะให้ปรับโทษจงหนักตามภิกษุสามเณรผู้กระทำผิด…”
ออกประกาศก็แล้ว จับไปรับโทษก็แล้ว จำนวนพระใบ้หวยและการเล่นหวยไม่มีวี่แววว่าจะลดลง
ดังจะเห็นได้จากภาพสะท้อนของสังคมไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ถ่ายทอดผ่านการเล่นสักวาเรื่อง เล่นหวย
ซึ่งเป็นการเล่นสักวาครั้งที่ 2 คืนที่ 2 ณ พระที่นั่งสนามจันทร์ ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีวอก พ.ศ.2415 (จากหนังสือ “ประชุมบทสักวาเล่นถวายในรัชกาลที่ 5”) กำหนดให้ผู้บอกสักวารับบทต่างๆ กัน อาทิ ผู้ออกหวย เสมียนเขียนโพย พระใบ้หวย นักเลงหวย เป็นต้น
การเล่นสักวาถวายรัชกาลที่ 5 ครั้งนี้จงใจแขวะเรื่องหวยโดยเฉพาะ
วงทูลกระหม่อม (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์) เป็นผู้เริ่มสักวาแจกตัว กำหนดหน้าที่ให้วงสักวาทั้งแปดรับไป ดังนี้
“สักรวามาพร้อมน้อมประณต จะจับบทยักเยื้องเรื่องเล่นหวย
กรมเจริญเจ้าสัวหงอย่างงงวย ตำรวจช่วยเป็นเสมียนเขียนส่งโรง
อันวงนี้จะขอว่าที่ตาเถร ด้วยจัดเจนเชิงวิชาล้วนอ่าโถง
ที่เหลือนั้นเป็นนักเลงอย่าเคลงโคลง จะใบ้โรงตัวจะออกบอกไว้เอย”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
วงช่างเขียนของกรมเจริญ (กรมขุนเจริญผลพูลสวัสดิ์) เป็น ‘เจ้าสัวหง’ ผู้ออกหวยคนแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 วงตำรวจเป็น ‘เจ๊กเขียนโพย’ หรือเสมียนเขียนหวยส่งโรงหวย วงทูลกระหม่อม (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงษ์) เป็น ‘ขรัวตาใบ้หวย’ วงอื่นๆ นั้นรับบทนักเลงหวยหรือผู้แทงหวย ประกอบด้วยวงหม่อมเจ้าจำเริญ เป็นนางกุดกู๋หูแหว่ง วงท่าพระของพระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์ วงคุณพุ่ม (วงสักวาหลวง) วงคุณมอญธิดาเจ้าพระยาอภัยภูธร และวงพระมหาสงคราม
เมื่อวงช่างเขียนรับบทเป็นเจ้าสัวหง เนื้อหาในบทสักวาจึงให้รายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าสัวหงว่าเป็นเจ้าของโรงหวยที่โกงจนรวย ทำมาหากินด้วยการออกหวย ถึงวันหวยออกก็เลือกตัวที่ต้องการมาใส่ถุงแขวนไว้หน้าโรงหวย กิจวัตรประจำวันคือสูบฝิ่น และนอนกลางวัน
“สักรวาเจ้าสัวหงอยู่วงนี้ นั่งเก้าอี้สูบยาแดงแสงควันโขมง
ผูกบ่อนเบี้ยออกหวยรวยเพราะโกง เข้าในโรงเลือกตัวที่ชั่วดี
เอาใบ้โรงมิดไว้ให้เสมียน อยากอาเพี่ยนนอนกลางวันฝันถึงผี
เอาตัวออกเก็บใส่ถุงไว้ดี แขวนไว้ที่หน้าโรงโอ่โถงเอย”
(อาเพี่ยน คือ Opium = ฝิ่น)
‘แทงหวย’ กับ ‘ใบ้หวย’ เป็นของคู่กันเหมือนผีกับโลง นักเลงหวยได้ข่าวว่าพระวัดใดใบ้หวยแม่นก็แจ้นไปออดอ้อนขอตัวเด็ดๆ มาแทง หวังถูกหวยรวยทางลัด วงหม่อมเจ้าจำเริญเล่าถึง ‘นางกุดกู๋หูแหว่ง’ นักเลงหวยรายหนึ่งว่า
“สักรวาได้ยินข่าวเล่าลือมา ว่าขรัวตาองค์นั้นท่านบอกหวย
เออวันนี้ดีละคงจะรวย จะได้ช่วยบ่าวใช้ได้หลายคน
จึงเข้าไปนบนอบแล้วยอบกาย จงช่วยบ้ายให้ประจักษ์แทงสักหน
โปรดให้แน่แน่ได้แก้จน ด้วยขัดสนจึงมาหาขรัวตาเอย”
วงทูลกระหม่อม (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงษ์) รับบทขรัวตาใบ้หวยผู้หมกมุ่นมัวเมาทางโลกมากกว่าทางธรรม มีพฤติกรรมบวชแล้วสึก สึกแล้วบวชถึง 7 หน (โบราณว่า ‘ชายสามโบสถ์’ ก็คบไม่ได้แล้ว นี่ปาเข้าไปถึง 7 โบสถ์) ตอนนี้วันๆ ก็คิดแต่จะสึก…สึก…สึก แสดงว่าศรัทธาความเชื่อมั่นในศาสนาง่อนแง่นเต็มที คนมาขอหวยก็ให้ก้นเทียนไปตีหวยเอาเอง
“สักรวาขรัวสาตากระเจาะ อยู่วัดเกาะเมืองภูเก็ตบวชเจ็ดหน
เข้ามาอยู่วัดพระนายท้ายเมืองนนท์ เฝ้านั่งบ่นแต่จะสึกคิดตรึกตรอง
พอเหลือบเห็นนางกุดกู๋ใบหูแหว่ง มาหมอบแฝงขอใบ้เห็นได้ช่อง
หยิบก้นเทียนส่งให้ดังใจปอง เอาไปลองคิดแทงอย่าแคลงเอย”
นักเลงหวย ฉายา ‘นางกุดกู๋หูแหว่ง’ ซึ่งรับบทโดยวงสักรวาหม่อมเจ้าจำเริญรับก้นเทียนมา จะตีความอย่างไร
ติดตามฉบับหน้า