ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เครื่องเคียงข้างจอ |
ผู้เขียน | วัชระ แวววุฒินันท์ |
เผยแพร่ |
ขุดไปขุดมาเจอกล่องชา
ชื่อตอนแปลกๆ ใช่ไหมครับ เหมือนเป็นชื่อหนังสือก็ไม่ใช่ ชื่อหนังก็ดูประหลาดๆ
ความจริงแล้วเครื่องเคียงฯ ฉบับนี้ ผมกำลังจะเล่าถึงหนังและละครสองเรื่องน่ะครับ
ที่เป็นหนังคือเรื่อง “The Dig” ทาง Netflix ที่หลายคนอาจจะได้ชมไปแล้ว
และที่เป็นละครคือ เรื่อง “Tea Box ชายชรากับหมาบ้า” ทางสถานี TPBS ครับ ซึ่งเจ เอส แอล ผลิตให้กับบริษัท แบล็คดอท ของคุณเปอร์ สุวิกรม เขาน่ะครับ
เริ่มจากเรื่อง The Dig ก่อน
จริงๆ ในมติชนสุดสัปดาห์สองฉบับก่อนก็มีเขียนถึงไปแล้วในคอลัมน์ภาพยนตร์ โดยครูนพ-นพมาส แววหงส์ หลายคนคงได้อ่านไปบ้างแล้ว
แต่ที่ผมจะเขียนถึงคงเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
The Dig สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงจากหนังสือของจอห์น เพรสตัน และชีวประวัติบางส่วนของบุคคลสำคัญที่มีตัวตนอยู่จริงในวงการโบราณคดีของอังกฤษ เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1939 ก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นในปีเดียวกัน ซึ่งในเรื่องก็มีบรรยากาศกรุ่นๆ ของสงครามแทรกอยู่ตลอดเรื่อง
เรื่องทั้งหมดคงจะไม่เกิด หากหญิงม่ายที่ชื่อ เอดิธ พริตตี้ จะไม่เกิดความใคร่รู้อย่างแรงกล้าว่าใต้ผืนดินกว้างและมีเนินดินหลายลูกในซัตตัน ฮู ชนบทในอังกฤษ ที่ตั้งของบ้านเธอที่เธออาศัยอยู่ปัจจุบัน มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใต้
สามีของเอดิธมาชิงเสียชีวิตเสียก่อนที่จะได้คลี่คลายความสงสัยของเธอ ทิ้งไว้คือที่ดิน คฤหาสน์พร้อมคนรับใช้ และลูกชายคนเดียวอายุราว 11 ปี
ราล์ฟ ไฟน์ พระเอกหน้าหล่อ แต่ตอนนี้ร่วงโรยไปเยอะ มารับบทเบซิล บราวน์ เป็นคนที่มารับจ้างขุดลึกไปในดินเพื่อหาคำตอบให้กับเธอ เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนทางโบราณคดีมาโดยตรง แต่เพราะมีความหลงใหลในเรื่องประวัติศาสตร์และความเป็นมนุษย์ ทำให้เขายึดมันเป็นอาชีพ คือ “ขุดหาความจริง”
และสิ่งที่ขุดเจอ ได้กลายเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ของอังกฤษและของโลก คือซากเรือโบราณขนาดใหญ่ ยาว 90 ฟุต ที่ยังสมบูรณ์และใต้ซากเรือนั้นก็มีทรัพย์สมบัติ ข้าวของเครื่องใช้จมอยู่ในดิน ซึ่งในเรื่องบอกว่าไม่ใช่เรือและข้าวของในยุคไวกิ้งตามที่สงสัยแต่แรก แต่ย้อนไปถึงสมัยแองโกล แซกซอนนั่นเลย
ซึ่งคนอังกฤษในปัจจุบันว่ากันว่าสืบเชื้อสายจากชาวแองโกลแซกซอนนั่นเอง นั่นเป็นหลักฐานว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชนชั้นมีอารยะวัฒนธรรม ไม่ใช่พวกบ้านป่าเมืองเถื่อน
และความกระหายใคร่มีและอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของมนุษย์ก็เข้ามาวุ่นวาย เมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษรู้เรื่องนี้ก็เข้ามาแสดงอำนาจและสิทธิ์ โดยส่งนักโบราณคดีและทีมงานเข้ามายึดหัวหาดเป็นผู้ดำเนินการขุดค้นต่อเองจากบราวน์ ที่ได้แต่ทำตาปริบๆ และถอยออกมาเป็นแค่หนึ่งในทีมงานขุดค้นไปกับเขา
ในขณะที่บนดินและลึกลงไปนั้น กำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่ค่อยๆ ค้นเจอจากการขุดซากประวัติศาสตร์ที่ถูกดึงให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาให้โลกรับรู้ บนฟ้าก็จะมีเครื่องบินรบบินว่อนไปมาอยู่เนืองๆ นั่นเป็นการเตรียมการเพื่อต่อสู้ทางอากาศยานกับฝ่ายอักษะ คือ เยอรมนีที่กำลังรุกคืบในยุโรปนั่นเอง
และสุดท้ายในตอนท้ายเรื่อง ก็ถึงวันที่อังกฤษโดยการลงพระนามของสมเด็จพระราชินี กระโดดเข้าร่วมการศึกในสงครามครั้งนี้ที่ได้ลุกลามมาเป็นสงครามโลกครั้งที่สองในเวลาต่อมา
สงครามมีแต่เรื่อง “ทำลายล้าง” ทำลายปัจจุบันทั้งชีวิตและอาคารบ้านเรือนต่างๆ และส่งผลต่ออนาคตที่ต้องเดินไปท่ามกลางซากของความเสียหาย
ในขณะที่การขุดค้น เป็นการย้อนไปหาอดีต เพื่อจะได้เข้าใจชีวิตผู้คนในสมัยก่อนโน้นที่สามารถต่อร้อยเรื่องราวมาถึงปัจจุบันได้
น่าขำตรงที่ฝ่ายหนึ่งกำลังค้นหาและเพิ่มคุณค่าให้กับซากอดีตที่ขุดค้นเจอ
แต่อีกฝ่ายหนึ่งมุ่งทำลายล้างปัจจุบันให้สิ้นซาก
เป็นได้ว่าอีกหลายร้อยปี หากคนในอนาคตมาขุดค้นใต้พื้นดินก็จะเจอซากโบราณวัตถุและโครงกระดูกของมนุษย์ ที่เกิดจากการทำลายล้างของสงคราม เพื่อที่จะได้เรียนรู้จากมันว่าสงครามเป็นสิ่งที่เลวร้ายของมนุษยชาติ
เรื่องราวเชิงปรัชญาที่ซ่อนอยู่ในหนังคือ การขุดเข้าไปในจิตใจคน ไม่ว่าจะเป็นคุณนายพริตตี้ ที่สุดท้ายเอาชนะใจตนเองได้ด้วยการยกซากเรือโบราณและทรัพย์สมบัติที่ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของเธอเพราะอยู่ในที่ดินเธอให้กับประเทศชาติ เธอได้พบว่าทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดคือ การเรียนรู้กับความตายที่เธอกำลังเผชิญ และลูกชายของเธอที่เรียนรู้ความกล้าหาญไปพร้อมๆ กัน
ฉากสุดท้ายที่ลูกชายพาแม่ที่ป่วยหนักนอนบนแอ่งดินที่ขุดเจอเรือนั้น และจินตนาการว่าได้ออกท่องไปเพื่อสัมผัสดวงดาวและจักรวาลบนฟากฟ้า ทำเอาคนใจอ่อนน้ำตาคลอได้ไม่ยาก
หรือเบซิล บราวน์ นักขุดค้นนั้น ก็ได้เรียนรู้ตนเองว่า ประวัติศาสตร์ในอดีตอาจเป็นสิ่งเย้ายวนสำหรับเขา แต่สำหรับ “มนุษย์” ในปัจจุบันไม่ว่าจะเรื่องดีหรือร้ายก็มีอะไรให้ศึกษาไม่น้อยกว่ากัน หากเขาได้เรียนรู้ เข้าใจ ยอมรับ มันก็มีเสน่ห์และคุณค่าไม่แพ้อดีตเลย
มาถึงเรื่องที่สองคือ “Tea Box ชายชรากับหมาบ้า” กันต่อ
จริงๆ เรื่องนี้เป็น 1 ใน 4 เรื่องของละครชุดที่ TPBS ตั้งใจให้ผู้ชมได้เรียนรู้ถึงเรื่องการบริหารชีวิต กับการบริหารเงินในโลกยุคใหม่ ทำอย่างไรให้คนได้เรียนรู้ที่จะเอาตัวให้รอดด้วยความเข้าใจเรื่องการเงินที่ถูกต้อง
หนึ่งเรื่องมี 4 ตอน และเรื่อง “Tea Box” นี้เป็นเรื่องที่ 3 ทั้งหมดได้ออกอากาศครบไปแล้วทั้งสี่เรื่อง อยากย้อนดูเรื่องไหนก็สามารถหาดูย้อนหลังได้ทางเว็บไซต์ของสถานี
“Tea Box” ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมจำนวนมาก ว่ามีเนื้อหาร่วมสมัย กินใจ และมีการแสดงที่ยอดเยี่ยมเอาอยู่ของนักแสดงสองวัย คือ นิรุตติ์ ศิริจรรยา กับ สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร
เรื่องราวของผู้ชายต่างวัยที่บ้านอยู่ติดกัน ต่างคนก็อยู่ตัวคนเดียว นิรุตติ์รับบทเป็น “วิชัย” วิศวกรม่าย เพราะภรรยาที่รักกันมากมาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ทำให้เขาอยู่คนเดียวไปวันๆ ขาดแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่ จนคิดฆ่าตัวตายลาจากโลกนี้ไป
จี๋ สุทธิรักษ์ รับบท “เจเจ” คนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เช่นกัน เพราะยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่ลุกขึ้นทำมาหากินมา 4 ปีแล้วเพราะมัวแต่ค้นหาตัวเองอยู่ พ่อ-แม่เสียไปนานแล้ว มีแฟนก็ถูกทิ้ง เพราะผู้หญิงคนไหนก็คงไม่ทนอยู่กับผู้ชายที่ไม่เอาไหนเยี่ยงนี้
ความจนตรอกของชีวิต ทำให้เจเจแอบมาขโมยสอยมะม่วงในบ้านของวิชัย หวังเอาไปกินพอประทังความหิว วิชัยมาเห็นเข้าทะเลาะกันจนเรื่องไปถึงตำรวจ สุดท้ายตำรวจไกล่เกลี่ยให้เจเจมาทำงานบ้านให้วิชัย ชดเชยกับความผิดที่ได้ทำลงไป
นั่นคือจุดที่ทำให้คนสองคนเริ่มรู้จักและเรียนรู้กัน ต่างคนต่างสะท้อนมุมที่เป็นจุดอ่อนของอีกคนออกมาให้ได้คิด และต่างฝ่ายก็ได้เติมเต็มให้อีกคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นความผูกพัน เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่กับหลานชายคนหนึ่งจริงๆ
ละครชี้ให้เห็นถึงเรื่องของ “เวลา” ว่าได้สร้างความคิด ประสบการณ์ของคนให้แตกต่างกัน เวลา 70 กว่าปีในชีวิตของวิชัยที่เติบโตมากับยุคสมัยของการทำงานที่มั่นคงเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว โดยมีจุดหมายของชีวิตที่ชัดเจนแน่นอน และทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดหมายนั้น
ย่อมแตกต่างจากเวลา 20 กว่าปีของเจเจที่โตมากับสังคมอีกแบบหนึ่ง ที่หนุ่ม-สาวให้ความสำคัญกับตนเองมาก ต้องใช้ชีวิตและทำงานตามที่ตนเองชอบเท่านั้น ต้องมีโลกในแบบที่ตนเองคิดฝันไว้ อะไรผิดไปจากที่คิดตั้งไว้ คือผิด
แต่ไม่ว่าเวลาของใครจะสั้น-ยาวมากน้อยกว่ากันแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เวลาไม่คอยท่าใคร 4 ปีของความเคว้งคว้างในการไล่ค้นหาตัวเองของเจเจ กับ 4 ปีของความเหงาหงอยโดดเดี่ยวที่ไม่อยากจะรักษาชีวิตตัวเองของวิชัย แตกต่างกันเหลือเกิน
คนหนึ่งออกตามหาตัวเองแบบสะเปะสะปะเพื่อให้เจอ
คนหนึ่งพบตัวเองและชังชีวิตตัวเองจนอยากละทิ้งไป
สุดท้ายชายสองคนก็ค้นพบคำตอบในชีวิตของแต่ละคน เจเจได้รู้จักตัวเอง และเรียนรู้การมีคุณค่าต่อคนอื่น สุดท้ายเขาได้ออกเดินทางไปตามความฝันของเขา เพื่อเรียนรู้ชีวิต และหาเป้าหมายที่แท้จริงด้วยความกล้าหาญ
วิชัยได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกใบใหม่นี้ให้ได้อย่างมีความสุขและไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
สําหรับ Tea Box หรือกล่องชา ที่เป็นชื่อเรื่องนั้น มาจากกล่องชาใบเก่าที่ในตอนต้นของเรื่องที่วิชัยกับเจเจใช้เป็นสะพานสื่อสารถึงกัน และจริงๆ เจเจก็มี Tea Box อีกอันกับแฟนเก่าที่เขามีอดีตให้ต้องทะเลาะและเลิกรากัน
ที่ว่า “ขุดไปขุดมาเจอกล่องชา”
ก็เพราะอยากชวนให้ผู้อ่านได้ชมหนังและละครเรื่องนี้
และจะพบว่า “กาลเวลา” นั้นจะมีคุณค่าเพียงใด อยู่ที่เราเป็นคนกำหนด และเวลาหลายร้อยปีของอดีตนั้นอาจไม่สำคัญเท่ากับเวลา 1 วินาทีในปัจจุบัน ที่เราได้ “รู้จักตนเอง” อย่างดีว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร
และรู้ว่าเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร
อันนี้ไม่เกี่ยวกับการขอเวลาอีก 1 ปีใดๆ นะครับ บอกไว้ก่อน