คำสั่งศาลคือจุดเริ่มต้น / กาแฟโบราณ มนัส สัตยารักษ์

กาแฟโบราณ

มนัส สัตยารักษ์

[email protected]

 

คำสั่งศาลคือจุดเริ่มต้น

 

สมองว่างและปลอดโปร่งมาหลายวันติดต่อกัน คงจะเนื่องมาจากเหตุ “การปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม” เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่ายรวมกันไม่ต่ำกว่า 30 คน และทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็กล่าวหาซึ่งกันและกันว่าอีกฝ่ายก่อเหตุก่อน โดยต่างก็มีคลิปเป็นพยานหลักฐานยืนยัน รวมทั้งมีสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนในโซเชียลมีเดีย ที่ล้วนแต่เป็นผู้มีเครดิตน่าเชื่อถือทั้งสิ้น

จนยากที่จะเชื่อใครได้แม้เพียงคนเดียว!

เหตุปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่นหมายถึงภาวะอันสุกงอมของความตึงเครียดกำลังจะมาถึง อาจจะเป็นการเริ่มต้นจุดจบของ “ม็อบราษฎร” ที่เรียกร้องต้องการปฏิรูปสถาบันและยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไม่มีสีและไม่ได้ผูกติดกับฝ่ายใดก็คือ “ปล่อยวาง” แล้วสงบจิตใจเพื่อรอจุดจบของวิกฤตที่กำลังคืบคลานมาหาอย่างช้าๆ

ศาลอาญามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 4 คน นำโดยพริษฐ์ ชิวรารักษ์ หรือเพนกวิน ใน 11 ข้อหา รวมทั้งข้อหาคดีมาตรา 112 และมาตรา 116 ตามด้วยคำสั่งศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น แถมเพิ่มเติมว่า “…และน่าเชื่อว่าอาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณา…”

แม้คดียังไม่จบ อยู่ในระหว่างศาลพิจารณา แต่อย่างน้อยเราก็หายเครียดจากการได้พักผ่อนสมองและสายตาบ้าง

 

ในช่วงเวลาที่สมองปลอดโปร่งและจิตใจแจ่มใส เรามักจะรู้สึกว่ามีอิสระและเสรีที่จะคิดถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

หวนคิดถึงรัฐบาลที่ผ่านมา ตั้งแต่รู้จักความและจำความได้ ดูเหมือนจะมีเพียง “รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์” เท่านั้นที่เรารู้สึกสงบ นอกจากนั้น มันจะมีความรู้สึกด้านลบแทรกเข้ามาแทบจะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล… เริ่มตั้งแต่หงุดหงิด เบื่อหน่าย รำคาญ โกรธแค้น กังวล อิจฉา ริษยา ที่การทุจริตคอร์รัปชั่นลอยนวล รู้สึกไม่เป็นธรรม ฯลฯ

ความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ค่อยๆ เพิ่มดีกรีแรงกล้าขึ้นจนกลายเป็นชิงชัง จนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง

ตามประสาเยาว์วัยที่ยังไม่รู้จักการเมือง และไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ผู้เป็นนักการเมือง จึงเสมือนให้โอกาสทุกรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ แต่แล้วก็เหมือนถูกวน loop กลับไปสู่วงจรเดิมแทบไม่ผิดเพี้ยน…และนี่อาจจะเป็นต้นเหตุให้เรากลายเป็นคนมีบุคลิก “ย้อนแย้ง” ติดตัว

ทุกรัฐบาลต่างมีทั้งคนดี มีความรู้ คนที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ…ไม่เพียงแต่ในคณะรัฐบาลเท่านั้น แต่รวมถึงฝ่ายค้านและทุกพรรคการเมือง

แต่ขณะเดียวกัน เราต้องไม่ลืมว่าทุกพรรคการเมืองต่างก็มีคนชาติชั่วปะปนแทรกซึมเข้ามาด้วยเช่นกัน

และด้วยวิถีวัฒนธรรมไทยอันฝังลึกมาแต่โบราณ เจ้าของพรรคหรือผู้มีอำนาจในพรรคต่างก็ไม่สามารถ “เท” ทิ้งไปได้อย่างง่ายๆ

 

การเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองของ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเกือบ 7 ปีก่อนก็อยู่ในวัฏจักรนี้

ความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่อง “ทุจริตจำนำข้าว” ความเบื่อหน่ายการชุมนุมปิดเมืองของกระบวนการ กปปส. ยึดสถานที่ราชการ ยึดสนามบิน ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจถึงทางตัน สร้างความเดือดร้อนติดขัดแก่ประชาชน ฯลฯ เหล่านี้ทำให้เรา “ปล่อยวาง” กับปฏิบัติการของรัฐประหาร

และแล้วก็เหมือนกับทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้จะไม่เห็นด้วยและไม่ได้ชื่นชม คสช.แม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับชิงชังรังเกียจในตัว พล.อ.ประยุทธ์แต่ประการใด

จนกระทั่ง คสช.ค่อยๆ สำแดงธาตุแท้ออกมา นั่นก็คือ ต้องการครองอำนาจชนิดที่นักวิชาการระดับสูงผู้ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญชุดแรกทนไม่ไหว ประกาศถอนตัว และบอกให้ประชาชนทราบทั่วกันว่า “เขาต้องการอยู่ยาว”

รัฐธรรมนูญ 2560, กติกาการเลือกตั้ง รวมทั้งนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตลอดจนบุคลิกเกรี้ยวกราดโดยไม่มีเหตุผลของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี คือพยานหลักฐานแห่งความล้มเหลวของรัฐบาล

 

วันและเวลาเพียงสั้นๆ ก่อนและหลังเลือกตั้ง 2562 เรา-ประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อย ต่างรู้สีกมีความหวังขึ้นบ้าง เมื่อพบว่ามี ส.ส.หน้าใหม่และพรรคใหม่ในสภา แสดงออกถึงนโยบายสำคัญคือ แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาและอำนาจของ “สมาชิกวุฒิสภา” รวมทั้งเสนอนโยบายใหม่

แต่แล้วก็ต้องหยุดความหวังไว้ก่อน เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรค เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี

ที่ต้องหยุดความหวังเพราะพรรคก้าวไกล ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ที่ยุบ กับหัวหน้าพรรคตัวจริง ในนามประธานของ “คณะก้าวหน้า” เปลี่ยนนโยบายปฏิรูปสถาบัน ที่อ้างว่าก่อนหน้านี้ “ต้องกลืนเลือด” เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย

มาเป็น เดินหน้า “ทะลุเพดาน”

การเดินหน้าทะลุเพดานหนนี้ ทั้งพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ต่างอาศัย “คณะราษฎร” ที่พัฒนามาจาก “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” เป็นทัพหน้า

“คณะราษฎร” ยิ่งกว่าทะลุเพดาน เพราะเลยเถิดไปทะลุฟ้า ท้าทายมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาอย่างไม่หวั่นเกรง

ด้วยการใช้ภาษาและถ้อยคำหยาบคาย เจตนาจาบจ้วงสถาบันโดยไม่อ้อมค้อม!

ทั้งพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า อาจจะพร้อมที่จะไม่กลืนเลือด หรืออาจจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “ทฤษฎีสมคบคิด” หรือมั่นใจในความช่วยเหลือจากประเทศตะวันตกอันถือว่าการจาบจ้วงสถาบันเป็น “สิทธิสากล”

ตรงจุดนี้เราไม่สามารถคาดเดาได้

 

คําสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ผู้องหาหรือจำเลยในคดีมาตรา 112 ประกันตัว ผู้รู้กล่าวว่า เหมือนประเทศได้ก้าวเข้าสู่ภาวะ “ตุลาการภิวัฒน์” ในยุคสมัยของ “นิติสงคราม”

ทั้ง 2 วาทกรรมในเครื่องหมายอัญประกาศข้างต้น มีคำอธิบายมาตั้งแต่ปี 2549 ที่ฟังหรืออ่านแล้วรู้สึกกำกวมในความหมายที่แท้จริงสำหรับผู้ไม่มีสีและไม่ได้ผูกติดกับฝ่ายใด

ได้แต่ภาวนาให้ศาลเร่งพิจารณาและมีคำสั่งในคดีเหล่านี้โดยเร็ว ไม่ปล่อยให้ค้างคาเป็นเวลานานถึงข้ามรัฐบาล เพื่อที่เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่โดยไม่ต้องรอรัฐบาลใหม่