อาณาจักรใจ / การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์/ บันทึกเบื้องหลัง ทวีปที่สาบสูญ

อาณาจักรใจ/การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ [email protected]

บันทึกเบื้องหลัง ทวีปที่สาบสูญ

 

ทวีปที่สาบสูญ ตอนสุดท้าย ลงในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 2113 ประจำวันที่ 12-18 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วนะคะ และเป็นการปิดคอลัมน์ “อาณาจักรใจ” ไปด้วยพร้อมกัน

และเหล่านี้ คือเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ของ นิยายเรื่องนี้ ที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

  1. ทวีปที่สาบสูญ ลงตอนสุดท้ายในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 2113 ประจำวันที่ 12-18 กุมภาพันธ์ 2564
  2. แต่ ตอนจบ จริงๆ ของทวีปที่สาบสูญ อยู่ในฉบับก่อนหน้า คือฉบับที่ 2112 ประจำวันที่ 5-11 กุมภาพันธ์ 2564 ในชื่อตอนว่า เพียงสบตาตัวเองในกระจกเงา
  3. ในตอน เพียงสบตาตัวเองในกระจกเงา ขึ้นต้นประโยคแรกว่า “ว่าแต่ก่อนอายุ 19 ปี ฉันเคยเข้ากรุงเทพฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่มันคือครั้งที่แทบไม่ได้บอกใคร…จะให้อ่านบันทึกก่อนนะ”
  4. ในตอน เพียงสบตาตัวเองในกระจกเงา จบด้วยย่อหน้าสุดท้ายว่า

[กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ  ได้ยินคำว่ากรุงเทพฯ แต่ละครั้ง เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้จักมากเหลือเกิน และจะว่ามันคือสิ่งหนึ่งที่อยู่ในความฝันก็ใช่ แต่จะว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยากเจออยากพบ…ก็อาจถูกอีกเหมือนกัน และนั่นคืออีกเสี้ยวของความเป็นฉัน ก่อนจะเลิกโกงอายุกับใครๆ และเพียงสบตาตัวเองในกระจกเงาแล้วพูดว่า

“ต่อจากนี้ไปหวังว่าจะโชคดี…”]

  1. ถ้าใครเคยอ่าน ปริมณฑลแห่งรัก อาจจะพอจำได้ว่า ในหน้าแรก บทเริ่มต้น เปิดเรื่องว่า

[เด็กสาวยืนหน้ากระจก…]

และ

[กะพริบตาครั้งหนึ่ง ร่างรางเลือนของเด็กหญิงตาดำสนิทซ้อนเข้ามาในเงาฝ้าจาง เธอโตแล้วสินะ เด็กหญิงคนนั้นกำลังพูด

…อยู่ดูโลกมาสิบเจ็ดปีแล้ว ต่อจากนี้ไป หวังว่าจะโชคดี…]

 

6.ทวีปที่สาบสูญ เขียนได้ทั้งหมด 2,120 หน้ากระดาษ A4 อย่างไรก็ดี ตอนจบของเรื่อง เขียนเริ่มต้นที่หน้า 2,113 (กลับไปดูข้อ 1 สิคะ??)

  1. ในตอนสุดท้ายที่ลงในมติชนสุดสัปดาห์ จริงๆ แล้ว จึงคือ ตอนแถม ที่มีใจความกลับไปยั่วล้อเรื่องทั้งสองพันกว่าหน้าว่า

“นี่เขียนอะไรของคุณ”

ผู้ชายหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ถามขึ้น พลางขยับแว่นตากรอบเล็กๆ บางใส ผมสีซังข้าวโพดเช้านี้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย

ฉันจ้องดูกำไลเงินบนข้อมือข้างหน้า ก่อนจะหลุดจากภวังค์ออกมาเมื่อยินเสียงถามซ้ำ

“…เป็นเรื่องสั้นได้ไหมคะ”

“ไม่ได้” บรรณาธิการพูดกับฉัน “ผมว่าไม่น่าจะลงได้”

“อันที่จริง อยากจะเขียนเป็นนิยาย”

“นิยายก็ต้องมีโครงเรื่อง” บรรณาธิการถอนใจ “คุณจะแต่งเรื่องยังไงก็ได้ แต่ต้องเล่าเรื่องให้เป็น”

ฉันนิ่งเงียบ

“เขียนเรื่องสวยๆ สิ ภาษาคุณดี เขียนเรื่องชีวิตดีๆ ที่ชนบทดูมั้ย ผมอ่านที่คุณส่งมา มีแต่เรื่องน่าหดหู่”

ฉันเงียบ

“เอามาจากบันทึกน่ะค่ะ”

บรรณาธิการส่ายหน้าอีก

“อย่าน่า ผมแก่แล้ว” ราวว่ามีความเห็นใจและเวทนา “คุณจินตนาการได้ แต่งเรื่องได้ แต่อย่าบอกว่าเอามาจากเรื่องจริง มันฟังไม่ขึ้นหรอก เหมือนย้อนกลับไปตั้งแต่ผมยังแก้ผ้ากระโดดน้ำเล่นนู่น ชีวิตอะไรจะลำบากกันขนาดนั้น”

แล้วก็หัวเราะอีกเบาๆ

“ไปเขียนมาใหม่ดีกว่า แล้วขอทีเถอะ เลิกเขียนได้แล้วพวกวรรณกรรมเพื่อชีวิตน่ะ คนเขาไม่อยากรู้หรอกชีวิตคนจนเป็นยังไง คุณไปเขียนมาใหม่ บรรยายฉากมาสวยๆ ทุ่งหญ้า แสงแดดอ่อนๆ ดอกไม้บานบนภูเขา อะไรอย่างนั้น…ถ้าคุณอยากเป็นนักเขียนรายได้ดี อยากมีชื่อเสียงต่อไปในอนาคต คุณไปเขียนมาใหม่”

  1. ทวีปที่สาบสูญ มีด้วยกันทั้งหมด 548 ตอน ลงในมติชนสุดฯ ครั้งแรก ฉบับที่ 1557 ประจำวันที่ 18-24 มิถุนายน 2553 ชื่อปกเล่มว่า ปรองดองในอ้อมกอดอำมหิต
  2. ในหน้าที่ 1557 ของต้นฉบับ เป็นช่วงที่อยู่ในชื่อตอนว่า ใช่ฉันจะไม่เห็นก้อนหิน เป็นตอนที่ อีพี่ กลับบ้าน และเปิดเรื่องว่า

[มีกลิ่นรวยรินเข้ามาในโพรงจมูก หอมจนฉุน และแทบจะทำให้ฉันสั่นไหวในอก…กลิ่นอะไรกัน

มันให้ทั้งความรู้สึกที่คุ้นเคย และเรียกเอาหลากหลายความรู้สึก…ก้ำกึ่งจะแปลกหน้า จนอลหม่านอยู่ในความเงียบงัน

จนกระทั่งฉันต้องค่อยๆ จับราวบันไดไว้ และเหลียวไปถาม

“แม่ปลูกดอกอะไรหรือ”

แม่มีประกายเปล่งปลั่งขึ้นในตาทันที…ตาคู่นั้น เกือบคล้ายแสงแดดสายนั้นอีกเช่นกัน

“กุหลาบ”]

และ

[นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือฝันอันใด

จู่ๆ ฉันก็พบว่าตัวเองเดินทางแสนไกล แค่เพียงจะกลับมาหาร่มไม้ชายคาบ้านสีน้ำตาลหลังหนึ่ง]

และ

[มีกลิ่นดอกกุหลาบโชยรวยรินฟุ้งบ้านไปหมด ฉันรู้สึกถึงไออวลอยู่ในโพรงจมูกและประสาทสัมผัส แต่กระนั้นก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน]

  1. เป็นเวลาเกือบ 10 ปีเต็ม ที่ทวีปที่สาบสูญ ลงตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ หากนับจากมิถุนายน 2553-กุมภาพันธ์ 2564 และเป็นภาคที่ยาวที่สุดของอาณาจักรใจ

 

11.ดังเคยเล่าไว้ว่า นิยายไตรภาคนี้ มีด้วยกัน 3 ส่วน เป็นภาค 1 2 3 แต่เขียนภาค 2 ก่อน คือ ปริมณฑลแห่งรัก ซึ่งในฉบับรวมเล่มครั้งแรก หนังสือหนา 592 หน้า, ทวีปที่สาบสูญ คือภาคที่ 1 และภาคที่ 3 ยังไม่ได้เขียน

  1. ต้องขอบคุณมติชนสุดสัปดาห์อย่างยิ่ง ที่ให้พื้นที่มาอย่างยาวนานกับนิยายเรื่องนี้ และหากย้อนกลับไป การเขียนเรื่องลงในมติชนสุดฯ อย่างจริงจังครั้งแรกคือเมื่อปี 2547 มาถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลา 17 ปี
  2. 17 ปี เท่ากับอายุของสุดคะเน ในปริมณฑลแห่งรัก และเป็น 17 ปี ที่ชีวิตจริงมีการเริ่มต้นใหม่ เป็น 17 ปีแห่งความหลังที่ได้ก้าวผ่านพรมแดนหลายๆ อย่างมา และเป็น 17 ปีที่เดินทางออกมาจากกรุงเทพฯ อย่างจริงจัง
  3. จุดเริ่มต้นของชีวิตที่จะมาเป็นการะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 17 ปี และจากที่คิดว่าจะไปกรุงเทพฯ สัก 1 อาทิตย์ ก็ปรากฏว่าอยู่ยาวถึง 16 ปี และปีที่ 17 ก็คือปีที่กลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง และด้วยความคิดที่ว่า จะมาเพียง 1 สัปดาห์อีกเช่นกัน แต่แล้วก็อยู่ยาวนานมาจนถึงบัดนี้อีก 17 ปี ก็คือในปีนี้ 2564
  4. สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจจะเขียนลงในทวีปที่สาบสูญ และเป็นความขอบคุณอย่างลึกซึ้งที่มีต่อมติชนสุดสัปดาห์ที่ให้พื้นที่เสมอมาคือ บางส่วนของการเขียนถึงผู้ที่แน่ใจว่าเขาจะต้องอ่านมติชนสุดฯ อยู่
  5. บางครั้ง อาจจะมีเพียงเราและเขาที่รู้ ว่าคำพูดบางคำพูดเป็นของใคร เหตุการณ์บางเหตุการณ์ใครคือผู้ที่อยู่ร่วมในนั้น และการย้ำเตือนอย่างเรียบๆ ว่า ยังมีความจดจำ เหล่านั้นคือการดึงความทรงจำของบางคนบางผู้ให้หวนกลับมา และอยากบอกให้รู้ว่า ต่อให้มันเป็นเพีย ทวีปที่สาบสูญ แต่มันคือ อาณาจักรใจ ที่ทุกสิ่งยังคงทิ้งร่องรอยแจ่มชัด และมันคือหมุดหมายสำคัญของการมาสู่ปัจจุบันขณะ

อันที่จริงแล้วยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกมากเกี่ยวกับมหากาพย์ ทวีปที่สาบสูญ ในฐานะนิยายที่อยู่กับมันมาสามพันกว่าวัน และค่าเรื่องรวมๆ กันของนิยายเรื่องนี้ที่ได้รับ อยู่ประมาณล้านกว่าบาท

ค่าเรื่องจากทวีปที่สาบสูญทั้งหมด คือส่วนหนึ่งที่นำมาเริ่มต้น สิริเมืองพร้าว ซึ่งปีนี้ คือปีที่ในบ้านของเราเต็มไปด้วยกลิ่นกุหลาบอีกครั้ง พร้อมกับทุกคนที่เคยอยู่ในฉากตอน ใช่ฉันจะไม่เห็นก้อนหิน

– ย้อนกลับไปอ่านข้อ 9 สิคะ??