ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ขมสะเดา หอมข้าวใหม่
คุณณัฐพล แผนกุล นายกเทศบาลตำบลทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี นำ “ข้าวใหม่” หอมมะลิมาให้ฐานเครือญาติโคตรตระกูลฝ่ายข้างปู่-ย่ามาให้หุงกิน เหมือนเป็นประเพณีฤดูข้าวใหม่สืบมาแต่โบราณ
เดือนกุมภาพันธ์ เป็นฤดูเกี่ยวข้าว ดังเพลงไทยเดิมขับร้องว่า
กุมภาพันธ์ ผันมาสู่ฤดูร้อน
ทินกรเรืองแรงส่องแสงจ้า
เป็นฤดูเกี่ยวข้าวของชาวนา
ขนข้าวกล้ามาบ้านสำราญใจ
ข้าวกล้าฤดูนี้เป็นข้าวนาปี ปลูกตามฤดูกาล ซึ่งสมัยเป็นเด็กจะสนุกกับการ “เก็บข้าวตก” ในนาหลังเก็บเกี่ยว
ข้าวเกี่ยวใหม่นี้จะนำไปตากผึ่งลมผึ่งแดดพอแห้งได้ที่แล้วนำไปสีหรือซ้อมมือเป็นข้าวสารโดยไม่ขัดขาว ชาวนาจะนำ “ข้าวใหม่” ที่ได้นี้แบ่งไปให้เป็นของขวัญแก่ผู้เคารพนับถือด้วยเสมือนของมงคลวิเศษสุด
วิเศษสุดของ “ข้าวใหม่” นี้คือ หุง “ขึ้นหม้อ” เมล็ดข้าวจะสุกพองขึ้นพูนน้ำ ด้วยยางของข้าวใหม่จะทำให้น้ำข้าวเป็นครีมข้นเหมือนแป้งเปียก ต้องคะเนใส่น้ำให้มากกว่าข้าวธรรมดาสักหน่อยจะเป็นข้าวต้ม
กินได้น้ำได้เนื้อได้มัน หอมอร่อยนัก
อร่อยข้าวและยัง “อร่อยความหลัง” ที่แม่จะปิ้งปลาช่อนแห้งแล้วทุบด้วยสากไม้ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกินกับข้าวต้มข้าวใหม่…เท่านี้ เท่านั้น นั่นแหละรสแท้รสแม่ทำ
ขอบคุณข้าวใหม่บ้านทุ่งสมอที่ให้หอมอร่อยไปกับความหลัง กระทั่งถึงวันนี้
ฤดูข้าวใหม่มาพร้อมกับหน้าสะเดาออกดอกเป็นช่อสะพรั่งขาวพราวไปทั้งต้น ชวนให้นึกถึงเพลงพื้นบ้านที่ว่า
สะเดาแตกดอก มะกอกแตกช่อ
จะหนาวแล้วหนอ จะขอแนบสาว
หนาวไม่หนาวไม่รู้ละ แนบไม่แนบก็ไม่รู้ แต่สะเดาออกดอกนี้แน่นอน
เดินดูตลาดสดก็จะเห็นแผงขายช่อดอกสะเดาลวกกับถุงน้ำปลาหวานและปลาดุกย่างครบสำรับ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลย
สะเดาน้ำปลาหวานดูจะเป็น “จานโปรด” ที่หายไปจากโต๊ะอาหารไทยทั่วๆ ไปในวันนี้แล้ว เหตุเพราะนอกจากฤดูสะเดาที่มีปีละครั้งและมักเป็นไม้ขึ้นเอง ไม่นิยมปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจแล้ว ยังหาคน “กินเป็น” น้อยลงด้วย
เหตุเพราะรสขมของสะเดานี่เอง
น่าสังเกตที่สะเดาไม่ใช่ผักโปรดของภาคอื่นนอกจากภาคกลาง ก็คือ จะใช้สะเดาลวกกินแกล้มลาบเป็นสำคัญทั้งภาคเหนือและอีสาน ซึ่งบางคนชอบแทะเปลือก้านโคนดอกนั่นเลย เคยลองด้วยแล้วอร่อยดี
ทางใต้ดูจะไม่ปรากฏสะเดาในสำรับใต้เอาเลย หรือใครรู้ช่วย “แหลงที”
อาจารย์ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ ผู้ล่วงลับแล้วเคยเล่าว่า ไม้สะเดาทางใต้ถือเป็นไม้เนื้อดีเท่าเทียมไม้สัก จึงเรียกไม้สะเดาว่า “เดาเทียม” คือมีเนื้อเทียมไม้สักนั่นเอง
ความนิยมกินสะเดาดูจะมีในภาคกลาง ด้วยการกินกับน้ำปลาหวานแกล้มปลาดุกย่าง ที่วิเศษแทนที่จะแกล้มปลาดุกย่าง แกล้มกับกุ้งเผายิ่งอร่อยสุด ถือเป็นสูตรพิเศษ ดังเรียก “กุ้งเผาสะเดาน้ำปลาหวาน” นั่น
สูตรสะเดาน้ำปลาหวาน จะแกล้มปลาดุกย่างหรือกุ้งเผาก็ตาม เป็นจานโปรดก็เพราะเป็นอาหารที่มีรสหลากหลายรสมารวมกันในคำเดียวกัน คือรสขมหวานมันเค็มเผ็ดเปรี้ยว ถึงหกรส อันยากจะหาโอชะใดมารวมกันได้ในคำเดียว
รสไม่อร่อยที่สุดนั้นคือ รสขม ดังว่า “ขมเป็นยา” กินกันเมื่อจำเป็นเท่านั้น ทำอย่างไรจึงจะทำให้รสขมอร่อยได้
สะเดานั้นขม ทำอย่างไรจึงจะนำรสขมสะเดามาปรุงให้อร่อยได้
คําตอบคือ น้ำปลาหวานอันมีรสเปรี้ยวจากน้ำมะขามเปียก หวานจากน้ำตาลปีบ เค็มจากน้ำปลา และเผ็ดจากพริกขี้หนูแห้งทอด กับผสานรสเหล่านี้ด้วยหอมเจียว
นี้คือน้ำปลาหวานที่ปรุงรสขมของสะเดาให้กลายเป็น “โอชะรส” วิเศษสุด โดยเฉพาะเมื่อแกล้มกับปลาดุกย่างหรือกุ้งเผาอันได้รสมันและหอม
คำข้าวนี่แหละจะช่วยผสานรสเหล่านี้ในปากเราให้ได้สมดุล เป็นโอชะรสแท้จริง
ท่านเขมานันทะ หรือโกวิท เอนกชัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เคยกล่าวว่า วิธีกินอาหารของชาวตะวันตกกับตะวันออกนั้นสะท้อนถึงวิธีคิดที่ต่างกัน ตรงที่ชาวตะวันตกจะกินโดยจำแนกรสเป็นส่วนๆ แล้วไปปรุงเป็นรสใหม่ในปากในคำเคี้ยวแต่ละคำนั้นๆ เช่นเดียวกับวิธีคิด คือคิดแต่ละอย่างและลงลึกในแต่ละเรื่องแต่ละอย่างนั้นๆ
ต่างกับตะวันออกที่รู้จักนำแต่ละรสมาปรุงมาคลุกเคล้าผสมผสานกันดังแกงต่างๆ จนถึงสูตรสะเดานี้อันกลายเป็นรสใหม่ไปปรากฏในคำเคี้ยวนั้นๆ
เช่นเดียวกับวิธีคิด ที่คิดหลายเรื่องหลายอย่างแล้วนำมารวมเป็นความคิดใหม่ ดังเกิดวาทกรรมใหม่ๆ นั้น
ไม่สรุปเป็นทฤษฎี เป็นเพียงข้อสังเกตเท่านั้น
เหมือนขมสะเดากับหอมข้าวใหม่ก็ไม่เกี่ยวกัน
แต่อร่อยกันได้
๐ ขวัญข้าวแม่เอย ขอเชยขอชม
แม่เอวกลม ละองค์อ้อนแอ้น
ใบคือแขน ค่อยโบกค่อยไหว
น้ำใสใส คือน้ำสระสรง
๐ สะโอดสะอง สะอางแม่ข้าว
ฝนพราวพราว คือเพชรคือพลอย
รวงสายสร้อย รับท้องสาวสวย
แม่สำรวย สำเริงลมฝน
๐ เขียวหมอกหม่น แม่ข้าวแต่งตัว
ข้าวหมอกมัว แม่ข้าวตั้งท้อง
เหลืองเป็นทอง เต็มทุ่งเต็มท่า
รวงระย้า เป็นสร้อยเป็นสาย
๐ เคียวขอฉาย ชักชวนแม่ข้าว
หมอกฟ้าหนาว ท้องทุ่งท้องนา
มาเถิดมา แม่มาอยู่ลาน
บายศรีสู่พาน ขวัญข้าวแม่เอย
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์