ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
สุรชาติ บำรุงสุข
2021
: ทหารกับการเมืองอเมริกัน!
“วีรบุรุษทหารหาญที่ได้รับการจดจำในประวัติศาสตร์คือ นายทหารที่ทำหน้าที่ในการปกป้องประชาชน ไม่ใช่ปราบปรามประชาชน”
Dennis Blair (2013)
หนึ่งในหัวข้อของนักเรียนรัฐศาสตร์ที่เรียนเรื่อง “ทหารกับการเมือง” ต้องเรียนรู้ก็คือ ประเด็นของ “ทหารกับการเมืองอเมริกัน”
แม้ว่าการศึกษาเรื่องบทบาทของทหารมักจะเน้นอยู่กับการเมืองประเทศโลกที่สาม ที่มีการแทรกแซงของกองทัพเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำรัฐประหารของกองทัพ เพื่อจัดตั้งระบอบอำนาจนิยม (หรือระบอบเสนานิยม) ขึ้นแทนระบอบการเมืองของพลเรือนที่ถูกโค่นล้มด้วยการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจ
รัฐประหารคือการใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นรูปแบบสูงสุดของการใช้กำลังทหารในทางการเมือง
และในระดับที่ต่ำกว่าคือ การใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการกดดันรัฐบาลพลเรือน ให้กระทำตามความต้องการของฝ่ายทหาร รูปแบบเช่นนี้เกิดขึ้นจนกลายเป็น “แบบแผนหลัก” ของการจัดตั้งระบอบอำนาจนิยมในประเทศโลกที่สาม
หรืออาจกล่าวในบริบทของการพัฒนาทางการเมืองได้ว่า ระบอบทหารที่ถือกำเนิดจากการรัฐประหารเป็น “สัญลักษณ์ของความด้อยพัฒนา” ทางการเมืองของประเทศเหล่านี้
(ไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า ประเทศที่ถูกปกครองด้วยระบอบทหารที่ล้าหลังเช่นนี้ จะเรียกว่า “ประเทศด้อยพัฒนา” หรือบางครั้งมีการปรับภาษาเพื่อไม่ให้เกิดภาพลักษณ์ในเชิงลบเกินไปว่า “ประเทศกำลังพัฒนา” ก็ไม่แตกต่างกัน)
ทหารการเมือง
ถ้ารัฐประหารเป็นภาพลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความด้อยพัฒนา ที่ทหารไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็น “สถาบันทหาร” อย่างที่วิชาประวัติศาสตร์สงครามสอน
หากแต่กองทัพเข้ามาทำหน้าที่ในการเป็นรัฐบาล เพียงเพราะกองทัพเป็นสถาบันเดียวที่ “ครอบครองและมีสิทธิ์ใช้อาวุธสงคราม” ตามพันธะที่กองทัพต้องทำหน้าที่ในการป้องกันประเทศ
แต่ผู้นำทหารกลับแปรเปลี่ยนการครอบครองอาวุธเช่นนี้ให้เป็น “พลังอำนาจทางการเมือง” อันกลายเป็นโอกาสให้กองทัพในประเทศโลกที่สามทำหน้าที่ทางการเมือง มากกว่าทำหน้าที่ในการสงคราม กองทัพเช่นนี้จึงกลายเป็น “ทหารการเมือง”
แต่กองทัพในประเทศที่พัฒนาแล้ว และระบอบประชาธิปไตยมีความเข้มแข็ง อยู่ในสภาวะตรงกันข้าม การมีบทบาททางการเมืองของทหารในระบอบประชาธิปไตยกระทำผ่านการให้ข้อเสนอและคำปรึกษาทางด้านนโยบายการทหารและ/หรือยุทธศาสตร์ของประเทศ
แต่กองทัพจะไม่เดินเกินเลยจนเข้ามาทำหน้าที่เป็น “องค์กรการเมือง” ในตัวเอง ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลทหาร
ซึ่งหนึ่งในกรณีศึกษาเรื่องนี้คือ “ทหารในการเมืองอเมริกัน” อันทำให้เกิดคำถาม (แบบยั่วให้คิดเสมอ) ว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีรัฐประหารที่วอชิงตัน เหมือนเช่นที่เกิดการยึดอำนาจของทหารในประเทศโลกที่สาม…
เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีผู้นำทหารจากเหล่าทัพต่างๆ ของสหรัฐนั่งเรียงหมู่ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ประกาศการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน
คำตอบง่ายๆ ก็คือ เป็นไปไม่ได้เลย…
แม้ทิศทางของการเมืองอเมริกันในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา จะมีความเป็นอำนาจนิยมมากขึ้น
แต่ก็มิได้เกิดการยึดอำนาจของผู้นำทหาร และกองทัพอเมริกันไม่ได้ถูกชนชั้นนำใช้เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้นำอำนาจนิยมแบบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นสู่อำนาจได้ และทรัมป์มาด้วยการเลือกตั้ง แต่การจัดตั้งรัฐบาลอำนาจนิยมในประเทศด้อยพัฒนาเกิดจากการยึดอำนาจของผู้นำทหาร…
ทหารไม่ใช่ “นักรบ” แต่เป็น “นักรัฐประหาร” ในประเทศโลกที่สาม
รัฐประหารของทรัมป์
ในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันของวุฒิสภา ด้วยการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปลุกระดมกระแสขวาจัด และนำไปสู่การใช้กำลังบุกเข้าไปในการประชุมของวุฒิสภาในวันที่ 6 มกราคม นั้น เป็นเสมือนกับความพยายามที่จะก่อการ “รัฐประหาร” ด้วยการใช้กำลังบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผลของกระบวนการรัฐสภา
จนอาจต้องเรียกสภาวะที่เกิดในอีกด้านหนึ่งว่า เป็นความพยายามในการ “ก่อการกบฏ” ในการเมืองอเมริกัน
ไม่ว่าปรากฏการณ์นี้จะเรียกว่า “รัฐประหารของทรัมป์” หรือ “กบฏทรัมป์” ก็ตาม ได้นำไปสู่คำถามถึงตัวแสดงหนึ่งที่สำคัญ คือบทบาทของทหาร… ผู้นำกองทัพอเมริกันจะตัดสินใจอย่างไรกับวิกฤตนี้
และพวกเขาจะประกาศตัวเป็น “ผู้พิทักษ์” ที่จะต้องเข้ามายึดอำนาจเช่นในประเทศโลกที่สามหรือไม่
ถ้าเรามองกบฏของพวกขวาจัดที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ด้วยแว่นตาการเมืองของประเทศโลกที่สามแล้ว เราอาจจะเชื่อว่าหลังจากการบุกสภาอีกไม่นานนัก ผู้นำทหารอเมริกันอาจนำกำลังออกมาประกาศการยึดอำนาจ ดังเช่นที่เกิดในการเมืองของประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศ
เพราะเมื่อใดเกิดการกบฏ เมื่อนั้นผู้นำทหารอาจจะต้องออกมาแสดงบทบาทเป็น “ผู้พิทักษ์” ด้วยการยึดอำนาจ และประกาศการรักษาความสงบเรียบร้อย
ผลในทางการเมืองคือ การใช้กำลังทหารเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อันเป็นตัวแบบที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากในประเทศด้อยพัฒนา ที่มีระดับวัฒนธรรมทางการเมืองของกลุ่มชนชั้นนำและผู้นำทหารอยู่ในระดับต่ำ
บนเงื่อนไขของประเทศที่ระดับวัฒนธรรมการเมืองถูกครอบงำด้วยชุดความคิดแบบอำนาจนิยมนั้น คนในสังคมจึงมักถูกประกอบสร้างให้เกิดความเชื่อแบบด้านเดียวว่า “การเมืองต้องไม่มีความขัดแย้ง”
และถ้ามีความขัดแย้งเกิดเมื่อใด เมื่อนั้นกองทัพจะต้องแสดงบทเป็น “ผู้พิทักษ์” ด้วยการยึดอำนาจและจัดตั้งรัฐบาลทหาร
หรืออาจเป็นการสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายขวา และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะถูกขจัดออกไปด้วยการรัฐประหาร
แต่ความเชื่อนี้ไม่เกิดในสังคมพัฒนาแล้ว
สังคมอเมริกันไม่อยู่ภายใต้ “วัฒนธรรมรัฐประหาร” ที่ผู้นำทหารจะต้องเป็น “ผู้พิทักษ์” ด้วยการยึดอำนาจรัฐ
และในด้านหนึ่งชนชั้นนำอเมริกัน และในอีกด้านคือสังคมอเมริกันเองก็ไม่ได้มีชุดความคิดที่จะใช้การยึดอำนาจเป็นเครื่องมือทางการเมือง
แต่ปัญหาถูกแก้ในทุกสี่ปีด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดี…
อำนาจรัฐจึงได้มาด้วย “รถหาเสียง” ไม่ใช่ด้วย “รถถัง”
ดังนั้น แม้ทำเนียบจะเป็นตัวจุดกระแสรัฐประหาร และนำไปสู่ความพยายามในการยึดรัฐสภา แต่ก็จะเห็นได้ว่าในการก่อกระแสขวาจัดในครั้งนี้ ไม่ได้มีคำสั่งให้มีการเคลื่อนกำลังรบแต่อย่างใด
และเชื่อได้เลยว่า แม้ทำเนียบขาวอาจจะตัดสินใจออกคำสั่งให้มีการเคลื่อนกำลังทหารและรถถัง เพื่อยึดอำนาจจากรัฐสภา ก็คงไม่มีผู้นำทหารอเมริกันคนใดที่จะ “เสียสติ” ยอมรับและปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นนั้น
ดังจะเห็นได้ว่าทรัมป์พยายามใช้กระบวนการการทางรัฐสภาในการเปลี่ยนผลการเลือกตั้ง ไม่ใช่เปลี่ยนด้วยอำนาจกำลังรบดังเช่นในประเทศโลกที่สาม ที่ใช้การเคลื่อนรถถังในเมืองหลวงเป็นเครื่องมือหลัก
ทหารในประเทศพัฒนาแล้ว
การออกถ้อยแถลงของคณะเสนาธิการร่วม ของกองทัพสหรัฐ (JCS) ในเวลาต่อมา ทำให้เกิดความชัดเจนในทางการเมือง
ถ้อยแถลงนี้ลงนามโดยประธานคณะเสนาธิการร่วม รองประธานคณะเสนาธิการร่วม และผู้นำทหารทั้ง 6 เหล่าทัพ
ซึ่งในเนื้อหาได้ยืนยันอย่างชัดเจนถึงบทบาทของกองทัพสหรัฐในการปกป้องรัฐธรรมนูญ
การเชื่อฟังคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้นำพลเรือน
การไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรง
และการยืนยันที่จะทำให้กระบวนการเปลี่ยนอำนาจเป็นไปอย่างถูกต้อง ด้วยการย้ำว่านายโจ ไบเดน จะได้เข้าสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนที่ 46 ของกองทัพอเมริกัน
คำแถลงของคณะเสนาธิการร่วมเช่นนี้เท่ากับยืนยันว่า กองทัพไม่สนับสนุนการกบฏที่เกิดในวันที่ 6 มกราคม
และในอีกส่วนทำให้คำถามที่ถูกตั้งว่า “กองทัพสหรัฐจะก่อการรัฐประหารหรือไม่” จบลง…
มีแต่รัฐประหารที่ล้มเหลวของทรัมป์ แต่ไม่มีรัฐประหารของกองทัพสหรัฐ
ถ้อยแถลงเช่นนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้นำทหารอเมริกันยอมรับแนวคิด “การควบคุมโดยพลเรือน” (civilian control) หรือโดยนัยคือการยอมรับการนำของผู้นำพลเรือน (civilian leadership)
และที่สำคัญคือ การยอมรับว่ากองทัพต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีหน้าที่เป็น “ผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” เท่ากับเป็นคำตอบว่า กองทัพจะไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ หรือกระทำตนเป็นผู้ละเมิดรัฐธรรมนูญ
ถ้อยแถลงนี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทและหน้าที่ของกองทัพในการเมืองอเมริกัน และเป็นการตอกย้ำเพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่กำลังพลทั้งหมด
จึงอาจกล่าวได้ว่าเอกสารฉบับนี้เป็นดัง “การประกาศนโยบายทางการเมือง” ของผู้นำทหารอเมริกันในยามที่ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตจากกลุ่มขวาจัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประโยคที่ย้ำอย่างชัดเจนว่า ความพยายามที่ล้มกระบวนการรัฐธรรมนูญไม่เพียงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับประเพณี ค่านิยม และคำสาบานตนเท่านั้น หากยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วย
อันเป็นการประกาศว่า กองทัพจะไม่กระทำผิดกฎหมาย
ดังนั้น คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่าถ้อยแถลงฉบับนี้คือภาพสะท้อนถึงทิศทางของความเป็น “ทหารอาชีพ” (professional soldier) ในสังคมประชาธิปไตย
ที่แม้การเมืองจะเผชิญกับวิกฤตมากเพียงใด แต่บทบาทของกองทัพมีความชัดเจนที่ไม่แทรกแซงการเมือง
และยังยืนยันกับกำลังพลและสังคมอีกว่า กองทัพยอมรับผลการเลือกตั้งที่เกิดจากมติมหาชน
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ขอให้กำลังพล “เตรียมตัวให้พร้อม มองไปสู่ขอบฟ้าเบื้องหน้า และยืนยันที่จะมุ่งเน้นอยู่กับภารกิจ [ของทหาร]”
ทหารในประเทศด้อยพัฒนา
บทบาททางการเมืองของผู้นำทหารในประเทศโลกที่ 3 ที่เติบโตมากับ “วัฒนธรรมรัฐประหาร” แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาไม่เคยมีแนวคิดเรื่อง “ทหารอาชีพ”
พวกเขาไม่เคย “เคารพรัฐธรรมนูญ”
อีกทั้งผู้นำทหารในประเทศเช่นนี้คุ้นชินกับ “วัฒนธรรมเผด็จการ” ที่ “กองทัพแห่งรัฐ” ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเอง
ที่สำคัญกองทัพในประเทศเช่นนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการทำลายประชาธิปไตย
แต่สิ่งที่เราเห็นจากผู้นำทหารอเมริกันในครั้งนี้ กองทัพมีพันธะทางการเมืองในการเป็น “ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย”
ฉะนั้น แม้ฝ่ายอำนาจนิยมในบางประเทศจะดีใจกับการก่อกบฏของทรัมป์ และเชื่อว่าประชาธิปไตยอเมริกันถึงจุดจบแล้ว
แต่เอกสารจากคณะเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐกลับเป็นคำตอบที่ชัดเจนถึง ความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตย และความเป็นทหารอาชีพจะมีส่วนโดยตรงต่อการรักษาระบอบประชาธิปไตย
และยืนชัดเจนด้วยว่า “ทหารมีหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ทำลายรัฐธรรมนูญ”
เอกสารฉบับนี้สมควรแปลและแจกจ่ายในบางประเทศ เพื่อให้ทหารเข้าใจถึงบทบาทของสถาบันกองทัพ และเพื่อให้สังคมเห็นถึงทิศทางของการปฏิรูปกองทัพในอนาคต!