ทฤษฎี ‘โควิด-19’ ไม่มีจริง สู่ความไม่เชื่อในวัคซีน / บทความต่างประเทศ

บทความต่างประเทศ

 

ทฤษฎี ‘โควิด-19’ ไม่มีจริง

สู่ความไม่เชื่อในวัคซีน

 

ในขณะที่ทั่วโลกยังคงลุ้นอยู่กับ “วัคซีน” ที่จะมาช่วยสกัดการระบาดของ “โควิด-19” ที่กำลังคุกคามโลกนี้อยู่

ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เชื่อเรื่องโควิด-19 และเรื่องวัคซีน

โดยมองว่า เป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

นายสตีเว่น แบรนเดนเบิร์ก เภสัชกรที่แอดโวเคต ออโรรา เฮลธ์ ซิสเต็มส์ รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในบุคคลที่เชื่อว่า โควิด-19 เป็นเพียงแค่เรื่อง “โกหก” และวัคซีนโควิด-19 นั้น หากฉีดเข้าไปในร่างกาย จะไปเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอในร่างกายของมนุษย์

จนเป็นที่มาของความพยายามในการทำลายวัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลเตรียมไว้สำหรับฉีดให้ประชาชน

 

นายแบรนเดนเบิร์กถูกตั้งข้อหาว่าโจรกรรมวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นาไป 570 โดส หลังถูกเพื่อนร่วมงานที่แอดโวเคต ออโรรา เฮลธ์ ซิสเต็มส์ ที่เมืองกราฟตัน รัฐวิสคอนซิน จับได้ว่าเขาได้ลักลอบนำเอาวัคซีนโควิด-19 ออกจากตู้แช่แข็งที่เก็บวัคซีนไว้เพื่อให้คงสภาพใช้งานได้ แต่หากถูกนำออกจากตู้แช่แข็งนานเกินกว่า 12 ชั่วโมง ก็จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

โดยผลการสอบสวน แบรนเดนเบิร์กยอมรับว่า ได้นำวัคซีนที่บรรจุอยู่ในกล่องออกจากตู้แช่แข็ง 2 ครั้ง ครั้งแรก คือเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกนำวัคซีนออกจากตู้แช่แข็งเป็นเวลา 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็นำกลับเข้าไปแช่แข็งใหม่

วันต่อมา คือวันที่ 25 ธันวาคม เขาได้นำวัคซีนออกจากตู้แช่แข็งอีก 9 ชั่วโมง เพื่อให้ครบ 12 ชั่วโมงที่จะทำให้วัคซีนเสื่อมสภาพ

แต่ครั้งที่ 2 นี้ กลับมีเพื่อนร่วมงานมาพบเสียก่อน และนำเก็บเข้าตู้แช่แข็งตามเดิม

 

เรื่องดังกล่าว นำไปสู่การสอบสวนหาที่มาว่า ขวดวัคซีนเหล่านี้ถูกนำเอาออกจากตู้แช่แข็งได้อย่างไร

ที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายแบรนเดนเบิร์กเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม

และเริ่มทำการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น จนพบว่าแบรนเดนเบิร์กเป็นผู้กระทำการดังกล่าว และถูกตั้งข้อหา 2 ข้อหา คือพยายามทำผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคให้ได้รับความเสียหาย ที่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย

โดยมีรายงานว่า มีผู้ได้รับวัคซีนเหล่านี้ไปอย่างน้อย 57 ราย ก่อนหน้าที่เรื่องราวนี้จะถูกเปิดเผย แต่เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีผู้ล้มป่วยจากการรับวัคซีนเหล่านี้ไปแต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากการตัดสินพบว่าผิดจริง แบรนเดนเบิร์กจะต้องโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และถูกปรับเงินอีก 250,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 ข้อหา

โดยผลจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ของสหรัฐอเมริกา สอบสวนพบแนวคิดที่แสนจะแปลกของนายแบรนเดนเบิร์ก ที่ยอมรับว่า เขาเชื่อว่าโควิด-19 เป็นเพียงเรื่องโกหก และวัคซีนเหล่านี้จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอของผู้รับ โดยจะเข้าไปควบคุมการให้กำเนิดของมนุษย์

นอกจากนี้ แบรนเดนเบิร์กยังเชื่อด้วยว่า “โลกแบน” ส่วนท้องฟ้านั้น จริงๆ แล้วถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลที่ต้องการป้องกันไม่ให้คนบนโลกมองเห็น “พระเจ้า” และยังเชื่อด้วยว่า “วันสุดท้ายของโลก” กำลังจะมาถึง

 

ซาราห์ สติกเกอร์ เจ้าพนักงานเภสัชกรรม เพื่อนร่วมงานของแบรนเดนเบิร์ก ซึ่งเป็นผู้พบเห็นวัคซีนถูกนำออกจากตู้แช่แข็ง บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า แบรนเดนเบิร์กมักจะพกปืน .45 คาลิเบอร์ไปที่ทำงาน โดยบอกว่า เผื่อไว้ใช้หากมีทหารมาจับตัวเขาไป

และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปในที่พักของแบรนเดนเบิร์ก ก็พบอาวุธปืนจำนวนมาก

สติกเกอร์บอกด้วยว่า แบรนเดนเบิร์กพยายามที่จะทำให้เธอรู้สึกผิด หลังจากรู้ว่าเธอเป็นคนบอกเจ้าหน้าที่เรื่องที่แบรนเดนเบิร์กเอาวัคซีนออกจากตู้แช่แข็ง

โดยแบรนเดนเบิร์กบอกกับสติกเกอร์ว่า หากเขาตกงาน เขาก็จะสูญเสียลูกๆ ไปด้วย

นอกจากนี้ สติกเกอร์ยังบอกด้วยว่า เธอเห็นการค้นหาเรื่องวัคซีนในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แบรนเดนเบิร์กใช้ เพื่อดูว่ามีกลไกอะไรติดอยู่บนกล่องเพื่อตรวจดูอุณหภูมิของวัคซีนหรือไม่

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สอบปากคำนายแบรนเดนเบิร์ก เขากลับพยายามบ่ายเบี่ยง โดยบอกว่า ที่เขาพยายามจะทำให้วัคซีนใช้ไม่ได้นั้น เป็นการกระทำที่ไม่ได้คิดอะไร ทำไปตามความรู้สึกส่วนตัว โดยไม่คิดว่าจะทำให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับตัวเอง

แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะลงมือกระทำติดต่อกัน 2 วัน ซึ่งนายแบรนเดนเบิร์กเองก็ไม่สามารถตอบคำถามดังกล่าวได้

อย่างไรก็ตาม ในการสัมภาษณ์ในภายหลัง แบรนเดนเบิร์กได้ยอมรับว่า เขาต้องการที่จะทำให้วัคซีนเสียหาย เนื่องจากคิดว่าวัคซีนนี้จะไปเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอของผู้รับ

ก่อนจะขอโทษต่อสิ่งที่ได้กระทำไป

ตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แบรนเดนเบิร์กถูกไล่ออกจากงานไปเรียบร้อย และรอรับฟังการพิจารณาตัดสินว่าจะถูกลงโทษหรือไม่ อย่างไร

เครดิตภาพ เอพี