เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ /พลังใจ พลังกวี

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

พลังใจ พลังกวี

 

สมัยสนุกอยู่กับกิจกรรมวรรณศิลป์ราวปี พ.ศ.2504 เป็นต้นมา ก่อนจะถึงยุค “เพื่อชีวิต” นั้น เนื้อหาของกาพย์กลอนหรือกวีจะลงลึกในเรื่องอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะ “ความรัก” เป็นสำคัญ

จนนิยามว่าเป็นยุค “สายลมแสงแดด” กระทั่งว่าเป็นกาพย์กลอน “หาผัวหาเมีย” …ไปโน่น

เราเฝ้าติดตามหาอ่านกลอนดีๆ จากที่ต่างๆ จำได้ว่าไปสะดุดใจมากๆ จากนักกลอนจุฬาฯ ผู้ใช้นามว่า “อินทิรา มณี” ชื่อจริงว่า “ตุลย์เทพย์ สุวรรณจินดา” ติดใจทั้งบท แต่จำได้วรรคเดียวมาถึงวันนี้ คือวรรคว่า

“มีน้ำอย่างหยาดแก้วกลบแววดาว”

เข้าใจนะว่าหมายถึงอะไร

วรรคเด็ดวรรคเดียวนี่แหละ มาเจอเข้าอีกเมื่อเพื่อนนักกลอน เอนก แจ่มขำ จัดรายการกลอนทางวิทยุ มีกลอนสำนวนหนึ่งสะดุดหูติดใจอยู่วรรคนี้วรรคเดียว จนถึงเอามาเล่าให้ฟัง จำติดใจมาถึงทุกวันนี้เช่นกัน คือวรรคว่า

“กว้างก็กว้าง ฟ้าหนอ ไกลก็ไกล”

เอนก แจ่มขำ เสียชีวิตแล้ว แต่มีกลอนฝากไว้ให้จำแทนตัวยามคิดถึงอยู่หนึ่งบทคือ

คมแห่งความคิดถึงประหนึ่งมีด

คิดครั้งหนึ่งก็เหมือนกรีดใจหนึ่งหน

สงสารใจทรมานสู้ทานทน

คิดถึงคนหลายใจได้ทุกวัน!

 

พลังอานุภาพของกาพย์กลอนมิได้มีแค่สัมผัสคำเท่านั้น หากอยู่ที่ “สัมผัสใจ” เป็นสำคัญอีกด้วย

ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า “อานุภาพของคำคล้องจอง คือทำให้จำง่าย”

ดังพุทธภาษิตว่า “กวิคาถา นมาสะโย” แปลว่า “กวีเป็นที่อาศัยของคาถาทั้งหลาย”

คาถาคือข้อความที่ดี จึงนำมาแต่งบทกวีเพื่อให้จำได้ง่ายนั่นเอง

คำดี-ความดี เป็นเอกภาพกัน จึงเป็น “พลัง” แก่ใจโดยแท้

พลังในที่นี้คือพลังคำ-พลังความ ที่อ่านแล้วติดใจ หรือ “โดนใจ” นี่เอง

อย่างวรรคที่ว่า “มีน้ำอย่างหยาดแก้วกลบแววดาว” นั้น

ทำให้นึกถึงภาพ “น้ำตาคลอ”

แทนจะพูดว่า “น้ำตา” แต่กวีใช้คำว่า “น้ำอย่างหยาดแก้ว” แทนจะพูดว่า “ตา” หรือ “ดวงตา” แต่กวีกลับใช้คำว่า “แววดาว” ซึ่งชวนให้คิดถึงดวงตาของหญิงสาวที่แวววาวน่ารัก

จึงเห็นภาพสาวคนรักกำลังจะร้องไห้มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตานั้น

คำ “กลบแววดาว” นี่แหละคือภาพนั้น

 

บันดาลใจจากวรรคกวี “มีน้ำอย่างหยาดแก้วกลบแววดาว” นี้ทำให้นำมาใช้แต่งขยายความต่อในบท “เป็นกำลัง” ดังนี้

“สตรีมีน้ำตาเป็นกำลัง

สามารถพังกำแพงที่แกร่งกร้าว

เมื่อน้ำอย่างหยาดแก้วกลบแววดาว

ก็จะน้าวโลกน้อมพร้อมพิทักษ์ ฯ”

คุณตุลย์เทพ สุวรรณจินดา หรืออินทิรา มณี อยู่ไหนไม่รู้ ขอได้รับคำขอบคุณที่ให้ “พลังกวี” แม้เพียงวรรคเดียวแก่เรามาจนวันนี้

วรรคกวีทำนองนี้มีในเสภา “ขุนช้าง-ขุนแผน” คือ

“เงยหน้าขึ้นเถิดเจ้าพิมเพื่อน

แก้มเปื้อนมาจะเช็ดน้ำตาให้”

สองวรรคนี้มีสัมผัสเชื่อมวรรคอยู่ที่เดียว คือคำเพื่อนกับเปื้อนเท่านั้น

แต่ “สัมผัสใจ” ไปหมดทั้งหัวใจเลยนั่น

นี่แหละ “พลังกวี” อันถึงพร้อมด้วยดุลยภาพของพลังคำ-พลังความ คือ

ให้ได้สัมผัสกับ “ความรู้สึก” ถึงรสไพเราะของเสียงอักษร กับจังหวะจะโคนของถ้อยคำ

ให้ได้สัมผัสกับ “ความนึก” ถึงจินตนาการไปกับภาพเสมือนจริง

ให้ได้สัมผัสกับ “ความคิด” ถึงความควรและไม่ควรจะพึงทำหรือไม่ทำอะไรอย่างไรต่อไป

ความรู้สึก-นึก-คิด อันได้สมดุลนี้แหละคือ “ปัญญา” แท้จริง

ถ้าเป็นในทางดี เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

ถ้าเป็นในทางร้าย เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ

พลังกวีจึงเป็น “พลังปัญญา” ของสังคม ดังท่านอาจารย์ ดร.เจตนา นาควัชระ ท่านว่าไว้จริง

 

เป้าหมายของ “พลังกวี” นั้น เคยตั้งสังเกตว่ามีอยู่สามเป้าหมายคือ เพื่อประโลมใจ-ปลอบใจ และปลุกใจ

ประโลมใจ เช่น กลอนรักของมัศยามาศ จันทร์จำเริญ

ร่างสูงสูงสวยสง่าในตาฝัน

ยิ้มขันขันชวนให้หัวใจหวาม

ทักสั้นสั้น…คิดถึง…ก็ซึ้งตาม

โอ้นี่หรือคือนิยามของความรัก ฯ

ปลอบใจ เช่นกาพย์ของ “ศรีฟ้า” คือ ม.ล.ศรีฟ้า ลดาวัลย์ ที่ว่า

ม.ล.ศรีฟ้า ลดาวัลย์

 

คว้างคว้างใบไม้ปลิว        ละลิ่วหล่นลงบนดิน

เอื่อยเอื่อยธารไหลริน       มิรู้สิ้น ณ หนใด

เปรียบดังชีวิตนี้              มิมีที่จะพักใจ

อ้างว้างร้างฤทัย               กว่าชีพดับลงลับสูญ ฯ

 

กาพย์นี้ปลอบใจเราเมื่อรู้สึกว่ายังมีคนรู้สึกเหมือนเราอยู่

พลังกวีที่ “ปลุกใจ” เช่นบทนี้ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ว่า

 

คืนนี้มืดใช่มืดสนิท          ไฟดวงนิดยังมีแสง

ขอเพียงลมพัดแรง           เถ้ามอดแดงก็จะลาม

ทุ่งนี้รกใช่รกหมด            นั่นข้าวสดขึ้นแทรกหนาม

ขอเพียงฝนจากฟ้าคราม    ข้าวจะงามท่วมหญ้าคา!

 

นี่แหละใช่เลย

ข้าวจะงามท่วมหญ้าคา!

 

เป็นกำลัง

 

นก มีห้วงหาว เป็นกำลัง

บินไปถึงฝั่ง ของความฝัน

ปลดปล่อยนกให้บินไปพลัน

นกจะดั้นฟ้าสวยด้วยเริงแรง

 

ปลา มีห้วงน้ำ เป็นกำลัง

ว่ายแหวกว่ายหวังดังเสาะแสวง

ปล่อยน้ำให้ไหลไม่เปลี่ยนแปลง

ปลาจะได้สำแดง ศักดาปลา

 

ทารก มีเสียงร้อง เป็นกำลัง

เสียงเด็กดังก้องภพ จบภาษา

ให้โอบอุ้มปลอบช่วย เช็ดน้ำตา

ปลุกพลังกรุณา ทุกคราคราว

 

สตรี มีน้ำตา เป็นกำลัง

สามารถพังกำแพงที่แกร่งกร้าว

เมื่อน้ำอย่างหยาดแก้วกลบแววดาว

ก็จะน้าวโลกน้อม พร้อมพิทักษ์

 

บุรุษ มีสตรี เป็นกำลัง

ให้แรงหวังแรงใจได้ประจักษ์

…โลก วันนี้เหนื่อยล้ามานานนัก

โลก ต้องการความรัก เป็นกำลัง!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์