ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เสฐียรพงษ์ วรรณปก |
เผยแพร่ |
สูตรสำเร็จในชีวิต (49)
สูตรสำเร็จข้อที่ 36 คือ อโสกํ แปลว่าจิตไม่เศร้าโศก
ความจริงจิตไม่เศร้าโศก จิตบริสุทธิ์ จิตเกษมปลอดภัย เป็นจิตของพระอรหันต์เท่านั้น
สำหรับปุถุชน ยังไงๆ ก็ยังต้องเศร้าโศกอยู่ เพราะฉะนั้น พระบาลีบางครั้งจึงเรียกปุถุชนว่า “โสกี ปชา” (เหล่าสัตว์ผู้ยังต้องโศกเศร้าอยู่)
นี่พูดเหมารวมนะครับว่าโดยสภาวะอันเป็นจริงแล้ว คนมีกิเลสอยู่ยังเรียกว่าคนยังต้องเศร้าโศก เพราะมีเรื่องจะต้องให้เศร้าให้โศกจนได้แหละ
แต่ก็มิได้หมายความว่า จะต้องร้องห่มร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าตลอด 24 ชั่วโมงดอก
ยังมีเวลาที่จิตใจผ่องใสเบิกบาน ไม่โศกไม่เศร้าเป็นครั้งคราว หรือหลายครั้งหลายคราว
ผู้รู้ท่านว่าวิธีปฏิบัติมิให้จิตเศร้าโศกเมื่อคราวเผชิญกับความผันผวนของชีวิตมีอยู่ 2 วิธีคือ ให้เจริญมรณัสสติ คือพิจารณาถึงความตายไว้เสมอๆ ว่า ชีวิตเราไม่ยั่งยืน เกิดมาแล้วไม่กี่ปีก็จะตาย ความตายต่างหากที่ยั่งยืน เมื่อนึกถึงความตายบ่อยๆ จะเข้าใจความจริงของชีวิต ไม่ประมาทในชีวิต โลภโมโทสันก็จะลดลง ความอยากได้อยากเอาก็จะเบาบางลง
อย่างคำกลอนที่ว่า “นึกถึงความตายสบายนัก มันหักรักหักหลงในสงสาร” นั่นแหละครับ
วิธีที่สองคือ ให้เจริญวิปัสสนากรรมฐานจนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน ถึงขั้นนี้แล้วรับรองไม่เศร้าไม่โศก
ใครอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไรก็เชิญปฏิบัติเอาเถอะครับ แล้วจะรู้เอง
ในอรรถกถาท่านเล่าเรื่องคน 5 คนเจริญมรณัสสติจนเข้าถึงความจริงของชีวิตไว้น่าสนใจ ขอนำมาถ่ายทอดให้ฟังดังนี้ครับ
วันหนึ่งพ่อกับลูกชายคนโตของครอบครัวไปนา ขณะที่พ่อไถนาอยู่ ลูกชายถูกงูกัดตาย พ่อวางคันไถ อุ้มศพลูกชายวางไว้ที่คันนา สั่งคนไปบอกภรรยาว่า วันนี้ให้นำอาหารไปให้พอสำหรับคนเดียว
ภรรยารู้ว่าคงเกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย จึงชวนลูกสะใภ้ ลูกสาวคนเล็กและคนใช้ไปด้วย ไปถึงต่างคนต่างก็ช่วยกันหาไม้มาก่อเป็นเชิงตะกอนยกศพขึ้นเผาด้วยใบหน้าอันสงบ ไม่มีใครเศร้าโศกเสียใจเลย
ร้อนถึงท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ต้องปลอมเป็นพราหมณ์เฒ่า เข้ามาถามว่า ทำไมไม่มีใครร้องไห้เสียใจสักคน คนที่ตนรักตายไปทั้งคน
ผู้เป็นพ่อกล่าวตอบว่า ลูกชายฉันตายไปก็เหมือนกับงูลอกคราบเก่าทิ้งไป เขาไปตามทางของเขาแล้ว ไม่รับรู้ว่าญาติพี่น้องเขาคร่ำครวญหวนไห้ถึงหรือไม่ เราคิดดังนี้จึงไม่ร้องไห้
ผู้เป็นแม่กล่าวว่า เวลาเขามาเราก็มิได้เชิญเขามา เวลาเขาไปเขาก็มิได้บอกเรา เขามาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น ถึงเราร้องไห้ถึงเขา เขาก็ไม่รู้ ฉันคิดดังนี้จึงไม่ร้องไห้
ภรรยาเขากล่าวว่า คนที่ร้องไห้ถึงคนตายไม่ต่างอะไรกับเด็กร้องไห้อยากได้พระจันทร์และพระอาทิตย์ (คือโง่พอกัน) ฉันคิดดังนี้จึงไม่ร้องไห้
น้องสาวเขากล่าวว่า ถ้าฉันมัวแต่ร้องไห้ถึงเขาก็จะผ่ายผอมไปเปล่า เขาไม่รู้เห็นดอกว่าญาติมิตรเศร้าโศกถึงเขา ฉันคิดดังนี้ จึงไม่ร้องไห้
คนใช้พูดว่า หม้อที่แตกแล้วประสานใหม่ไม่ได้ นายฉันตายแล้วกลับคืนไม่ได้ ฉันคิดดังนี้จึงไม่ร้องไห้
ครับ คนที่เข้าใจชีวิตเขาจะไม่โศกเศร้าฟูมฟายเกินเหตุเมื่อถึงคราวพลัดพราก