อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ความกล้าหาญของทารก

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (68)

อุทยานรส (14)

“ในความฝัน

ข้าฯ กินดื่มไม่รู้จบ

อาหารมากมายไม่จบสิ้น

เครื่องดื่มมากมายไม่พร่อง

เป็นเช่นนั้นเสมอ

เมื่อปราศจากความกลัว

มีหรือสิ่งที่ไม่อาจกินได้

นอกเสียจากความหวาดกลัวในตน

ท่านก้าวข้าม

ข้าฯ ก้าวข้าม

โลกแห่งอาหารเช่นนั้นเอง

ที่เราควรเคารพ”

ชินจิ นากามูระ

มีเสียงไก่ขันดังมาจากที่ใดสักที่ ชินจิ นากามูระ ตระหนักว่ารุ่งอรุณกำลังจะมาถึง แม้ค่ำคืนนี้จะยาวนาน แต่ไม่ช้าก็เร็วรุ่งอรุณกำลังจะมาถึง

หากนับเขาและบุคคลอื่นอีกสิบคน ตอนนี้มีผู้คนถึงสิบเอ็ดคนที่โต๊ะอาหาร ชุดอาหารนั้นมีสิบสามชุดราวกับฉากในอาหารค่ำมื้อสุดท้ายในคริสต์ศาสนา มีใครบางคนต้องการให้เป็นเช่นนั้น มีใครบางคนต้องการให้เป็นมื้ออาหารศักดิ์สิทธิ์ แต่ใครกันเล่า

ในที่สุดแขกคนต่อไปก็มาถึง มีเสียงเปิดประตู แต่ไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น เสียงประตูเปิดและปิด แต่ไม่มีวี่แววของผู้ใด ชินจิ นากามูระ นึกถึงหญิงที่ไม่มีตัวตนอย่างท่านป้าเงาที่เป็นตัวแทนของเปลวไฟ หรือว่าแขกคนต่อไปจะเป็นผู้ไม่มีร่างกายอีกคน

ไม่ใช่ แขกคนต่อไปขึ้นนั่งเคียงข้างชินจิ นากามูระ แล้ว สาเหตุที่เขามองไม่เห็นแขกผู้นั้น นั่นเป็นเพราะเขาเป็นเพียงทารกผู้หนึ่งนั่นเอง

เป็นทารกที่มีอายุไม่ถึงเจ็ดปีด้วยซ้ำไป

ด้วยความเป็นทารก เขาย่อมไม่อาจมองเห็นได้ง่าย แม้แต่ในยามขึ้นโต๊ะ ทารกผู้นั้นมุดมาใต้โต๊ะและขึ้นนั่งข้างชินจิ นากามูระ ก่อนที่เขาจะรู้ตัวด้วยซ้ำไป

ทว่า งานเลี้ยงที่ลี้ลับ อัศจรรย์สุดหยั่งถึงเช่นนี้ เหตุไฉนจึงมีทารกเป็นแขกรับเชิญได้?

ทารกผู้นั้นขึ้นนั่งได้ที่แล้ว ก็ร้องขออาหารที่แปลกประหลาดหลายประการ

“ข้าพเจ้าหิวจนแทบตาย ขอตะพาบน้ำนึ่งด้วยพุทราหนึ่งที่ เป็ดที่เอาเฉพาะตับที่มีขนาดเท่ากำปั้น ย่างด้วยถ่านไม้สนและยัดไส้ด้วยผงกำยานและดินภูเขาไฟ ปลาบู่ที่ครึ่งตัวด้านบนตาย ครึ่งตัวด้านล่างยังมีชีวิตอยู่แล้วทอดด้วยน้ำมันจากเลียงผา ผัดผักที่มาจากเนินเขาที่ไม่มีใครไปถึงสามชนิดก่อนราดด้วยน้ำมันที่หมักด้วยหอยเป๋าฮื้อ และสุราที่ทำจากข้าวหมากแดงที่หวานจนแม้แต่ผึ้งยังดมดอม”

สิ้นเสียงสั่งของทารกผู้นั้น ผู้คนบนโต๊ะอาหารล้วนหายเข้าไปในครัว หลงเหลือเพียงชายชราผู้ตรวจสอบรสชาติและชินจิ นากามูระ เพียงสองคน คำสั่งของเด็กทารกน้อยผู้นี้กลับดูราวกับเป็นอาญาสิทธิ์ที่ไม่มีใครกล้าแข็งขืน คำสั่งของทารกน้อยผู้นี้ราวกับเป็นคำสั่งจากองค์จักรพรรดิจากดินแดนใดดินแดนหนึ่งไม่ปาน

ชินจิ นากามูระ หยิบหวีที่ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะจากหญิงสาวผมยาวสลวยผู้นั้น ชายชราผู้ตัดสินรสชาติ นั่งตะไบเล็บของตนเอง ส่วนทารกน้อยเช็ดตะเกียบเบื้องหน้าของเขา เป็นสภาวะที่กระอักกระอ่วนสุดแสน ทุกคนทำราวกับไม่มีเวลา แต่ในขณะเดียวกันเวลาที่มีนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะใช้มันทำอะไรดี

ราวครึ่งชั่วโมงอาหารจานแรกออกมาจากครัว ตับเป็ดที่ถูกย่างด้วยถ่านไม้สนและดินภูเขาไฟถูกเสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มที่ทำจากบ๊วย เด็กทารกผู้นั้นใช้ตะเกียบคีบกินตับดังกล่าวจนหมดในชั่วพริบตาก่อนจะเคาะโต๊ะเรียกหาอาหารจานต่อไป ชายชรายังคงตะไบเล็บของเขาต่อ

ส่วนชินจิ นากามูระ นั้นรู้สึกตนแล้วว่าเขาได้กลายเป็นผู้ดูอย่างสิ้นเชิงแล้วนับแต่นี้

อาหารจานที่สองคือตะพาบน้ำที่นึ่งกับผลพุทรา เนื้อตะพาบน้ำนั้นดูฉ่ำหวาน ทารกน้อยผู้นั้นคีบเนื้อทีละส่วนเข้าปากอย่างโหยหิว คำแล้วคำเล่า ไม่นานนักอาหารจานดังกล่าวก็หมดลง

เห็นได้ชัดว่า อาหารทั้งหมดที่ออกจากครัวไม่ได้ถูกปรุงมาเพื่อคนอื่น หากแต่ถูกปรุงมาเพื่อทารกน้อยนี้เพียงคนเดียว

ทารกน้อยผู้นี้ถือตนว่าเป็นองค์จักรพรรดิที่ไม่ยอมรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นหรือไร

ปลาบู่ที่ครึ่งตัวเป็นและครึ่งตัวตายซึ่งถูกทอดด้วยน้ำมันเลียงผาถูกวางลงบนโต๊ะ ส่วนที่ตายมีสีเหลืองกรอบแบบปลาทอดชั้นดี ส่วนที่เป็นดิบคล้ายปลาดิบในญี่ปุ่น ปลาตัวหนึ่งสามารถกินได้สองแบบในเวลาเดียวกัน นี่คือประสบการณ์ใหม่ของชินจิ นากามูระ จริงๆ

ผัดผักจากดินแดนที่ไม่มีใครไปเยือนถูกนำออกมาพร้อมกับสุราข้าวหมากแดง ผักเหล่านั้นได้แก่ บัวหิมะ โสมพันปี และยอดของสน มันดูราวกับสิ่งที่กินไม่ได้ แต่ทารกน้อยนั้นรินสุราข้าวหมากแดงจนท่วมผัก ไม่นานนักผักก็เปลี่ยนสี เขาใช้ตะเกียบคีบผักทั้งหมดขึ้นกิน

และชั่วพริบตาอีกเช่นกันที่ผักทั้งหลายมลายหายไป

การแสดงดังกล่าวจบลง บุคคลทั้งหมดกลับมาที่โต๊ะอาหาร ทุกคนนั่งลงอย่างสงบนิ่ง หญิงสาวผมยาวสลวยหวีผมของนาง ชายชรานั่งตะไบเล็บ ชายฝาแฝดผลัดกันหายใจเป็นจังหวะ ส่วนบุคคลครึ่งชายครึ่งหญิงโต้เถียงใส่กันว่าพวกเขาปรุงอะไรผิดพลาดไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ความปกติจนทารกนั้นเอ่ยวาจา

“ข้าพเจ้าขอตัดสินให้ปลาบู่ที่ครึ่งเป็นครึ่งตายตัวนั้นที่ทอดด้วยน้ำมันเลียงผาชนะเลิศ ตามมาด้วยตะพาบน้ำที่นึ่งด้วยผลพุทราและผัดผักจากดินแดนอันห่างไกล ขอขอบใจที่ทุกท่านตั้งใจทำอาหารในวันนี้ให้ข้าพเจ้า ขอให้ทุกคนไปปรุงอาหารอีกรอบหนึ่งและนำออกมาให้ทุกคนได้ลิ้มลองกัน”

สิ้นคำ ทุกคนบนโต๊ะอาหารหายไปในครัวอีกครั้ง ชายชราผู้ตัดสินรสชาติเอ่ยขึ้นว่า “ทารกที่ปราศจากความกลัว ไม่พบกันนานนัก ท่านยังคงความกล้าเหมือนเดิม นับถือๆ”

“หามิได้ สำหรับคำชมของท่าน ข้าพเจ้าขอน้อมรับ หากคนเราไม่มีความกล้าเสียแล้ว เราจะลิ้มลองอาหารใหม่ๆ ได้อย่างไร”

“ความกล้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาหารก็จริงอยู่ แต่คนกล้าเช่นท่านนั้นไม่น่าจะมีมากมายนัก”

“ยิ่งอายุน้อย ยิ่งกล้าหาญ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ”

บทสนทนาจบลงด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งสอง ก่อนที่ชายชราผู้ตัดสินรสชาติจะเอ่ยว่า “แขกคนสุดท้ายเล่า ทำไมนางถึงยังไม่มา นี่ก็ใกล้รุ่งสางแล้ว หลังอาหารชุดก่อน เราจะต้องกินอาหารมื้อสุดท้ายเสียที”

แทนคำตอบ เสียงเปิดประตูดังขึ้น แขกคนสุดท้ายเดินผ่านประตูเข้ามา ในครานี้ ชินจิ นากามูระ รู้สึกดังพลัดตกไปในภูเขาน้ำแข็ง เขาจำแขกคนสุดท้ายได้แม่น เป็นความจำที่ไม่มีทางลืมเลือน

แขกคนสุดท้ายนั้นได้แก่แม่ของเขาเอง