เมื่อจีนกับมะกันปะทะกัน ในสงครามเกาหลี / กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

 

เมื่อจีนกับมะกันปะทะกัน

ในสงครามเกาหลี

 

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนหลังสงครามโลกครั้งที่สองเสื่อมทรุดลงตามลำดับเมื่อ “สงครามเย็น” ระหว่างอเมริกากับสหภาพโซเวียต “ระเบิด” ขึ้น

เหตุแห่งสงครามเย็นคือการเผชิญหน้าระหว่างสองลัทธิทางการเมือง

วอชิงตันถือว่าตนเป็นเสาหลักของโลกด้าน “เสรีประธิปไตย” ขณะที่มอสโกยึดเอา “คอมมิวนิสต์” อันมีรากฐานจากลัทธิ “มาร์กซ์-เลนิน” เป็นหลัก

ปักกิ่งเอียงข้างมอสโควเพราะสหภาพโซเวียตยื่นมือมาช่วยเป็น “สหาย” อันแข็งขันหลังจากที่อเมริกาหันไปอุ้มไต้หวันภายใต้การนำของเจียงไคเช็ก

โลกถูกแบ่งเป็นสองค่ายอย่างชัดเจน

วันนั้นจีนยังอ่อนแอ ต้องพึ่งพาสหภาพโซเวียตอย่างมาก จึงไม่อยู่ในสภาพที่จะท้าทายอเมริกาได้

นอกจากจะแสดงตนเป็นหนึ่งในแกนต่อต้าน “จักรวรรดินิยิมอเมริกา”

สงครามเย็นเริ่มเมื่อไหร่?

 

น่าจะนับเนื่องตั้งแต่ประธานาธิบดีสหรัฐแฮร์รี่ ทรูแมน ประกาศ “Truman Doctrine” หรือ “ลัทธิทรูแมน” เพื่อประกาศให้อเมริกาเป็น “พี่เบิ้ม” ของค่ายโลกเสรี

เป้าหมายหลักคือการทำลายอิทธิพลคอมมิวนิสต์ที่ถูกมองว่าพยายามจะครองโลก

สหรัฐยืนยันว่าโลกนี้จะต้องปลอดจาก “ภัยคอมมิวนิสต์” ขณะที่สหภาพโซเวียตยืนยันว่าจะ “ปลดปล่อย” โลกนี้ออกจากโซ่ตรวนแห่งทุนนิยม

แม้สหรัฐกับสหภาพโซเวียตจะเป็นพันธมิตรในการปราบนาซีเยอรมันของฮิตเลอร์ แต่หลังจัดการกับลัทธิ “ฟาสซิสต์” แล้ว ทั้งสองก็ไม่อาจจะหาทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้

สองยักษ์ใหญ่จึงแข่งกันสร้างอาวุธนิวเคลียร์ที่มีแสนยานุภาพทำลายล้างกันอย่างร้อนรน

เป็นที่มาของลัทธิที่เรียกว่า MAD (Mutually Assured Destruction)

แปลตรงตัวคือ “การทำลายล้างซึ่งกันและกันด้วยอาวุธร้ายแรง”

คำว่า MAD อาจมีความหมายว่า “บ้า” ได้เหมือนกัน

และ “บ้า” ในที่นี้หมายถึงการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าจะโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งด้วยอาวุธทำลายล้างสูงก่อนโดยคิดว่าตนเองจะรอด

แต่ในความเป็นจริงหากทั้งสองฝ่ายมีอาวุธร้ายแรงพอๆ กันก็จะเป็นการสร้างดุลอำนาจไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งก่อน

เพราะไม่ว่าใครจะโจมตีใครก่อน (ที่เรียกว่า pre-emptive strike) อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่รอด ถูกทำลายหมดสิ้นเช่นกัน

 

สงครามเย็นน่าจะเกิดตั้งแต่ปี 1947 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสองปี (และจบลงเมื่อปี 1991 หลังกำแพงเบอร์ลินล่มสลายในปี 1989)

แต่พอถึง 1950 ก็เกิดสงครามเกาหลี

เป็นอีกจุดหนึ่งของการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐกับจีนในสมรภูมิการสู้รบที่ดุเดือดยิ่ง

สงครามเกาหลีเริ่มวันที่ 25 มิถุนายน 1950 ถึง 27 กรกฎาคม 1953

ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการสงบศึกอย่างเป็นทางการ มีเพียงการตกลง “หยุดยิง” กันถึงวันนี้

สงครามเกาหลีตอกย้ำว่าจีนกับอเมริกายืนอยู่คนละข้างของอุดมการณ์ทางการเมืองหลังจากที่วอชิงตันกระโดดไปเข้าข้างเจียงไคเช็ก และตราหน้าว่ารัฐบาลใหม่ของจีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุง (ก่อตั้ง 1 ตุลาคม 1949…ก่อนสงครามเกาหลีเพียง 9 เดือน)

สงครามเกาหลีคือการรบพุ่งระหว่างเกาหลีเหนือ (สนับสนุนโดยจีนและสหภาพโซเวียต) และเกาหลีใต้ (หนุนหลังโดยสหประชาชาติที่มีสหรัฐเป็นหัวหอก)

หลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ 15 สิงหาคม 1945 เกาหลีถูกแย่งเป็นสองซีกตรงเส้นขนานที่ 38

สหภาพโซเวียตคุมส่วนเหนือ

อเมริกายึดส่วนใต้

ปีต่อมา เมื่อสงครามเย็นเริ่มระอุ สองยักษ์ใหญ่ก็ตัดสินใจแบ่งเกาหลีเป็นสองประเทศ…

ทางเหนือคือค่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของคิมอิลซุง

ทางใต้ถูกนำโดยซิงมาน รี

ทั้งสองคนมีความเผด็จการพอๆ กันเพราะได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นอย่างเต็มที่

เพราะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันลัทธิในสงครามเย็น

ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าตนคือผู้นำอันชอบธรรมของเกาหลีทั้งหมด และสองผู้นำต่างก็ไม่ยอมรับเส้นพรมแดนนั้นเป็นเรื่องถาวร

 

สงครามเกิดขึ้นเพราะเกาหลีเหนือยกทัพบุกเกาหลีใต้หลังการปะทะกันตรายแดนและการลุกฮือในเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950

คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติประณามการกระทำของเกาหลีเหนือ และอนุมัติให้มีการก่อตั้ง “กองบัญชาการสหประชาชาติ” สั่งให้ส่งกองกำลังไปยับยั้ง “การรุกราน” ของเกาหลีเหนือต่อเกาหลีใต้

แต่มติของสหประชาชาติ (ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นหยกๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง) ไม่เป็นที่รับรองของสหภาพโซเวียตและจีนคณะชาติ (ตอนนั้นจีนปักกิ่งยังไม่ได้เป็นสมาชิกยูเอ็น)

ทั้งสองประเทศนี้ประกาศอยู่ข้างเกาหลีเหนืออย่างออกนอกหน้า

ทหารจาก 21 ประเทศ (รวมไทยด้วย) ส่งทหารมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองบัญชาการสหประชาชาติ

แต่ใครๆ ก็รู้ว่าอเมริกาคือ “พี่เบิ้ม” ของกองกำลังนี้เพราะเป็นประเทศที่ส่งทหารมาถึง 90% ของทั้งหมด

นายพลดักลาส แม็กอาร์เธอร์ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายสหรัฐนำกองกำลังรุกข้ามเส้นขนานที่ 38 มุ่งสู่ชายแดนจีน

นำไปสู่การปะทะระหว่างทหารจีนกับอเมริกันเป็นครั้งแรกหลังการสู้รบกันในการลุกฮือที่เมืองจีนที่รู้จักกันดีในชื่อ The Boxer Uprising ในปี 1900

นายพล “บ้าดีเดือด” คนนี้สร้างประวัติการรบพุ่งด้วยการสั่งทหารของตนลุยเข้าในเขตศัตรูโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับวอชิงตัน

ทหารสหประชาชาติรุกเข้าเกาหลีเหนือในเดือนตุลาคม 1950 มุ่งสู่แม่น้ำยาลูซึ่งเป็นเส้นแบ่งชายแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับจีน

ทหารจากกองทัพอาสาสมัครประชาชน (People’s Volunteer Army หรือ PVA) ของจีนยกกองกำลังข้ามแม่น้ำมาร่วมสงครามทันที

การที่จีนตัดสินใจเข้าร่วมรบอยู่คนละข้างกับสหรัฐสร้างความประหลาดใจพอสมควร

ทหารจีนรุกหนักและสามารถฝ่าห่ากระสุนของกองกำลังสหประชาชาติข้ามเข้าเกาหลีใต้ได้ในเดือนธันวาคม

การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทหารจีนยึดกรุงโซลทางใต้ได้ถึง 4 ครั้ง

ทหารสหรัฐและพันธมิตรผลักดันให้ทหารจีนและเกาหลีเหนือกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมรอบๆ เส้นแบ่งที่ 38

ตลอดเวลาสองปีต่อมาการปะทะระหว่างสองฝ่ายกลายการสู้รบยืดเยื้อ

การสู้รบการอากาศกลายเป็นยุทธวิธีที่อเมริกานำมาใช้…ด้วยการถล่มเกาหลีเหนือด้วยเครื่องบินรบ

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สงครามที่มีการ “สู้รบกันกลางหาว” ระหว่างกองทัพอากาศสหรัฐกับเกาหลีเหนือ

โดยมีนักบินโซเวียตแอบช่วยขับเครื่องบินรบช่วยเหลือเกาหลีเหนือ

เมื่อเขาขอไฟเขียวจากประธานาธิบดีทรูแมนให้บุกเข้าไปในเขตลึกๆ ของจีนก็ถูกเรียกตัวกลับวอชิงตัน

หากนายพลแม็กอาเธอร์แข็งขืน และนำทหารเข้ายึดเมืองในจีนในช่วงนั้น เราอาจจะได้อ่านประวัติศาสตร์โลกเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้

เพราะเหมาเจ๋อตุงเพิ่งจะประกาศสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” หลังตีพ่ายเจียงไคเช็ก จึงยังกำลังฮึกเหิมและพร้อมจะพิสูจน์ว่า “กองกำลังปลดแอก” ของจีนคอมมิวนิสต์จะไม่ยอมก้มหัวให้กับทหาร “จักรวรรดินิยม” เป็นแน่แท้

 

การสู้รบระหว่างสองฝ่ายในเกาหลียืดเยื้อถึงปี 1953 โดยที่ต่างฝ่ายต่างปักหลักในที่มั่นของตน ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งข้ามเส้นแบ่งตรงกลางเกาหลีได้

สงครามเกาหลีคือช่วงตอนประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกว่าสายน้ำจะไม่ไหลวนกลับมาอีก

สหรัฐกับจีนตัดสินใจแล้วว่าต่างคนจะสร้างดาวคนละดวงบนโลกใบนี้แน่นอน