ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
นายพล Joseph Votel หัวหน้าผู้บัญชาการกลางของสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐมี “ผลประโยชน์สำคัญ” ในเยเมน ทั้งนี้ สหรัฐมีฐานทัพขนาดใหญ่อยู่ในกาตาร์และบาห์เรน และฐานทัพเล็กๆ อยู่ในจอร์แดนและคูเวต
ชัยชนะของซาอุดีอาระเบียในเยเมน จะทำให้สหรัฐควบคุมเส้นทางทางยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบบาบอัลมันดีบ (Bab-al-Mandeb) ได้
แต่ยังไม่มีชัยชนะใดมองเห็นได้ในขณะนี้เนื่องจากพันธมิตรของกองกำลังเยเมน ซึ่งนำโดยนักรบเฮาษี (Houthi) ได้ทำให้การเคลื่อนตัวของซาอุดีอาระเบียที่สนับสนุนโดยสหรัฐต้องมาหยุดชะงักลง
รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ James Mattes เจ้าของฉายาไอ้หมาบ้า (Mad Dog) กล่าวขณะเยือนกรุงริยาดในสัปดาห์ที่สามของเดือนเมษายน (2017) ว่าสหรัฐกำลังพิจารณาการเข้าแทรกแซงสงครามในเยเมนในฐานะพันธมิตรของกลุ่มประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย
เขากล่าวว่า “มันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาแล้วที่เราได้เห็นอิหร่านส่งจรวดที่ยิงออกมาโดยฝ่ายเฮาษีเข้ามายังซาอุดีอาระเบีย ด้วยสิ่งเหล่านี้ และด้วยจำนวนของผู้ไร้เดียงสาที่จบชีวิตลงในเยเมน จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าจะต้องทำให้มันจบลง”
เรือรบของสหรัฐและพันธมิตรแถบอ่าวเปอร์เซียได้ร่วมกันปิดล้อมเยเมน แม้แต่เครื่องบินเหมาลำของ UN ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอดในเยเมน เรือซึ่งนำเอาอาหารที่จำเป็นมาช่วยชาวเยเมนจากอิหร่าน ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาถึงเยเมนเช่นกัน
Rex Tillerson รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่าการกระทำของอิหร่านเป็นการยั่วยุสหรัฐ ภูมิภาคต่างๆ และโลก คำกล่าวของ Tillerson มีขึ้นไม่นานหลังจากฝ่ายบริหารของทรัมป์ลังเลที่จะยอมรับว่าอิหร่านได้ทำตามข้อตกลงว่าด้วยการมีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งลงนามโดยกลุ่มที่เรียกกันว่า P5+1 ซึ่งประกอบไปด้วยคณะมนตรีความมั่นคงของ UN สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซียบวกกับเยอรมนีอย่างเต็มที่ไปเรียบร้อยแล้ว
วิกฤตด้านมนุษยธรรมในเยเมน ซึ่งในอดีตเป็นอู่อารยธรรมสำคัญของอิสลามนั้นกล่าวกันว่าเลวร้ายกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรียเสียอีก
ทั้งนี้ พลเรือนกว่า 10,000 คนถูกสังหาร
และมากกว่าหนึ่งล้านคนเป็นผู้ไร้ถิ่นอันเนื่องมาจากสงครามกลางเมือง
โรงงานอุตสาหกรรมทางทหารของสหรัฐจะได้กำไรมากขึ้นด้วยการขายอาวุธทำลายล้างร้ายแรงจำนวนมากให้กับกลุ่มรัฐกษัตริย์ในอ่าวเปอร์เซีย การเดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียของทรัมป์และคณะ อันเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรก ซึ่งเขาเลือกซาอุดีอาระเบีย การเลือกดังกล่าวจะต่างไปจากผู้นำทุกคนของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ นอกจากทรัมป์จะได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากกษัตริย์ซัลมานของซาอุดีอาระเบียแล้วสหรัฐยังสามารถขายอาวุธให้กับประเทศนี้ได้เป็นเงินจำนวนมหาศาล
ก่อนหน้านี้สหรัฐได้ขายอาวุธซึ่งมีราคามากกว่า 130 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงการดำรงตำแหน่งของโอบามา 8 ปี ปัจจุบันฝ่ายบริหารของทรัมป์ขายอาวุธสำคัญๆ จำนวนมากให้แก่ซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่อง
การใช้กำลังทางทหารของสหรัฐที่นำไปสู่ความตื่นตะลึงและสะพรึงกลัว (Shock and Awe) อยู่ทั้งในอิรัก-ซีเรีย อัฟกานิสถานและโซมาเลียนำไปสู่ความสูญเสียของผู้คนนับร้อย
ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ยกเลิกข้อห้ามทางทหารในสมัยของโอบามาลงไปจนหมดสิ้น ในเหตุการณ์แค่เพียงเหตุการณ์เดียวที่เห็นได้จะพบว่าเครื่องบินรบของสหรัฐตั้งใจถล่มที่อยู่อาศัยของประชาชนในเมืองโมสุลทางตะวันตกของอิรัก เมื่อวันที่ 17 มีนาคม (2017) สังหารประชาชนที่ไม่มีอาวุธไปมากกว่า 200 คน หลายคนเป็นเด็กและสตรี
ทรัมป์เปลี่ยนตำแหน่งของซีเรียเสียใหม่ในต้นเดือนเมษายน หลังจากซีเรียถูกสหรัฐกล่าวหาว่าใช้อาวุธเคมีกับประชาชนของตนเอง
โดยอะสัดของซีเรียไม่ได้ถูกมองว่าเป็นพันธมิตรต่อต้านความรุนแรงอีกต่อไป
แต่อะสัดกลับเข้ามาอยู่ในรายชื่อผู้นำที่จะต้องมีการเปลี่ยนรัฐบาลอีกครั้ง
สําหรับกรณีของ NATO ทรัมป์ก็ได้เปลี่ยนจุดยืนของเขาอีกครั้ง
นั่นคือนอกจาก NATO ยังมีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐแล้ว NATO ยังคงเป็นพันธมิตรทางทหารกับประเทศตะวันตกที่สำคัญต่อไป
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้แสดงให้เห็นว่า NATO มิได้เป็นส่วนสำคัญที่สหรัฐจะเข้าไปผูกพันและร่มหัวจมท้ายด้วย ทรัมป์มองว่าสหรัฐเสียเปรียบประเทศอื่นๆ เพราะสหรัฐต้องคอยเป็นผู้จ่ายให้กับ NATO เป็นด้านหลักอยู่ตลอด แรงผลักดันในการเปลี่ยนจุดยืนอยู่บ่อยครั้งของทรัมป์ส่วนหนึ่งก็เพื่อแสดงให้ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์เขาเห็นว่าสหรัฐมิได้เป็นหนี้ใดๆ กับรัสเซียอีกต่อไปแล้ว
ทรัมป์มีคำสั่งให้เพิ่มกองกำลังพิเศษของสหรัฐในทางตอนเหนือของซีเรีย ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าสหรัฐสนับสนุนชาวเคิร์ดในซีเรียในความพยายามที่จะให้ชาวเคิร์ดมีเขตปกครองอิสระของตนเองมาโดยตลอด
ที่ไม่เหมือนกับกองกำลังของรัสเซียก็คือสหรัฐไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาซีเรียหากไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลซีเรียเสียก่อน
ฝ่ายบริหารของทรัมป์ต้องการความมั่นใจว่าฝ่ายเคิร์ดเป็นแนวหน้าของกองกำลังที่จะควบคุมเมืองรักกา อันเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นเมืองหลวงของฝ่ายไอเอสในซีเรียมาก่อน
ต้นเดือนเมษายน การถล่มแบบมิตรภาพของสหรัฐได้สังหารนักต่อสู้ชาวเคิร์ดของซีเรียไปหลายคน การเสียชีวิตของชาวเคิร์ดเกิดขึ้นหลังจากทรัมป์มีคำสั่งให้กองทัพสหรัฐใช้ขีปนาวุธโทมาฮอว์กถล่มฐานทัพอากาศของซีเรีย หลังจากสหรัฐอ้างว่าซีเรียใช้ก๊าซซารินสังหารประชาชนในเมืองข่านชัยคูน (Khan Sheikhun) ซึ่งควบคุมโดยฝ่ายกบฏญะบัต อัล-นุสเราะฮ์ (Jabhat al-Nusra) ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอัล-กออิดะฮ์
ในขณะที่ บะชัร อัล-อะสัด ได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าได้มีการใช้ก๊าซพิษกับประชาชนของตัวเอง ตัวเขากับประธานาธิบดีปูตินได้เรียกร้องให้มีการพิสูจน์จากนานาชาติในข้อกล่าวหาที่ว่ามีการโจมตีด้วยก๊าซพิษดังกล่าว
แต่ทรัมป์ก็เร่งรีบตัดสินเหมือนกับเป็นกรรมการรายการเรียลลิตี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการฟันธงเอาไว้ก่อน
ภายในไม่กี่วันหลังการโจมตีซีเรียอย่างหนักหน่วง เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยการใช้ “แม่แห่งระเบิดทั้งหลาย” ซึ่งมีน้ำหนัก 10,000 กิโลกรัมที่เมืองนันการ์ฮาร์ของอัฟกานิสถานดังได้กล่าวมาแล้ว เมืองนันการ์ฮาร์เป็นเมืองที่มีชายแดนติดกับปากีสถาน
มารดาแห่งระเบิด (MOAB) เป็นระเบิดขนาดใหญ่ที่สุดหลังจากมีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เมื่อปี 1945
สหรัฐได้หาเหตุผลให้กับการใช้อาวุธทำลายล้างนี้ว่าเป็นการกระทำตามคำเรียกร้องของรัฐบาลอัฟกานิสถานให้เข้ามาจัดการกับกองกำลังไอเอส
อันเป็นกองกำลังเดียวกันกับที่สหรัฐต้องการทำลายให้สิ้นซาก แม้ว่าสหรัฐจะถูกกล่าวหามาตลอดว่าเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มไอเอสให้ต่อสู้กับรัฐบาลซีเรียมาตั้งแต่ต้นก็ตาม
ก่อนที่ในที่สุดไอเอสจะตั้งรัฐมาสู้กับสหรัฐและพันธมิตร รวมทั้งประเทศที่สนับสนุนรัฐบาลซีเรียทั้งหมด