คำ ผกา | สูงสุดของเผด็จการ คือการทำลายความเป็นคน

คำ ผกา

จนถึงวันนี้ ฉันอยากถามคนไทยทุกคนว่าเรารู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสังคมนี้หรือไม่

สังคมที่เมื่อครั้งโควิดระบาดระลอกแรก และมีข่าวว่า “ผีน้อย” จากเกาหลี อันเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อโควิด ได้พากันกลับมาเมืองไทย คนไทยพากันรังเกียจผีน้อย สาปแช่ง บอกว่าคนเหล่านี้ทำผิดกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียง ทำให้คนไทย “ดีๆ” ไม่สามารถไปเที่ยวประเทศเกาหลีได้

ผีน้อยเหล่านี้ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน ไปทำงานผิดกฎหมายยังไม่พอ กลับมาเมืองไทยยังเที่ยวเพ่นพ่าน ไปกินหมูกระทะ ไปนู่นมานี่

คนเหล่านี้คือพาหะนำโควิดมาสู่ประเทศไทยหรือเปล่าน้า?

ตัดภาพมาที่ไม่มีข่าวว่า “ผีน้อย” คนไหน ติดโควิดหรือกลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์

แต่คลัสเตอร์แห่งการระบาดของโควิดที่ใหญ่ที่สุดคือสนามมวยกับการแข่งขันมวยโดยหน่วยงานทหาร

และเมื่อถึงตอนนั้น คนไทยที่ด่าผีน้อยก็ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเรื่องผีน้อยก็ค่อยๆ เงียบหายไป

จากคลัสเตอร์ใหญ่สนามมวย โควิดระบาด คนที่เดือดร้อนคือคนไทย คนส่วนใหญ่ที่ต้องเจอกับมาตรการล็อกดาวน์ทั้งแผ่นดิน โรงเรียนปิด สวนสาธารณะปิด ร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านนวด ฟิตเนส ปิด

ผู้คนเดือดร้อนกันถ้วนหน้าจากภาวะไม่สามารถทำมาหากินต่อไปได้ (ไม่นับว่าก่อนมีโควิด เศรษฐกิจก็อ่วมอรทัยจะตายห่าอยู่แล้ว)

สิ่งที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลทำคือ

หนึ่ง แจกเงินให้คนไทยทุกคนในระยะเวลาสามเดือน เดือนละสามพันบาท ในทางอ้อมคือกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

สอง รักษาชีวิตของ smes ด้วยเงินกู้ปราศจากดอกเบี้ย และไม่ต้องใช้เงินคืนในห้าปีแรก เพื่อให้ smes เหล่านั้นประคองธุรกิจ และรักษาอัตราการจ้างงานเอาไว้

สาม รัฐไปลงทุนหรือร่วมสนับสนุนให้ธุรกิจ โรงแรม สปา ทั้งหมดในประเทศไทยที่เคยพึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ใช้ห้วงเวลาที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ “ปรับ” กิจการโรงแรม และสปาให้เป็นสถานที่สำหรับ Alternative quarantine สำหรับคนที่จำเป็นต้องกักตัวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แทนที่จะกักตัวแบบรอเวลาให้ผ่านไปอย่างเบื่อหน่าย เราสามารถทำ 14 วันแห่งการกักตัวให้กลายเป็นโปรแกรมรีทรีต 14 วัน สำหรับการฟื้นฟูสุขภาพ โยคะ นวด กินอาหารคลีน หรือการออกแบบอาหารให้ตรงกับความต้องการทางสุขภาพของลูกค้าแต่ละคน

ซึ่งฉันมั่นใจว่าผู้ประกอบการและประเทศไทยมีองค์ความรู้ด้านนี้อย่างครบถ้วน

และมันจะดีขนาดไหน ถ้าเราโปรโมตโปรแกรมนี้ให้อยู่ในราคาที่เข้าถึงได้

การกักตัวจะไม่ใช่แค่การกักตัวและพลิก 14 วันแห่งการกักตัวเป็น 14 วันแห่งการฟื้นฟูสุขภาพ

ซึ่งท้ายที่สุดแม้แต่คนที่ไม่ต้องกักตัวก็อาจจะอยากมาอยู่ในโปรแกรมรีทรีตนี้ และมันจะกลายเป็นทางเลือก ทางรอดของธุรกิจ โรงแรม รีสอร์ต สปา ทั้งหมดในประเทศไทย

และงานนี้จะให้อภัยภูเบศรเป็นเจ้าภาพเลยก็ยังได้

สุดท้าย รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการหาโอกาสในวิกฤต นอกจากแสวงหาตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เป็นศูนย์ แล้วป่าวประกาศชัยชนะ

และคงไม่ต้องพูดซ้ำซากว่า บ้านเมืองที่ปกครองด้วยอำนาจของเผด็จการสติปัญญาทึบ สิ่งที่เกิดขึ้นคือความยิ่งใหญ่ของระบบราชการ เพราะผู้นำปัญญาทึบ ไม่สามารถบริหารประเทศได้ด้วยวิสัยทัศน์ของตัวเอง

สิ่งเดียวที่ทำคือ อาศัยข้าราชการทำงานแทนไปวันๆ และตัวผู้นำปัญญาทึบทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นอดีตข้าราชการที่เป็นใหญ่เป็นโตมาด้วยทักษะการประจบสอพลอมากกว่าการใช้สติปัญญาในการทำงาน

ความชำนาญเดียวของระบบราชการและข้าราชการไทยที่สั่งสมมาตลอดประวัติศาสตร์ประเทศไทยคือการใช้ตำแหน่งที่ตนเองมีอยู่แสวงหาผลประโยชน์และความมั่งคั่ง และเจือจานผลประโยชน์นั้นไปสู่ผู้มีอำนาจเพื่อแลกกับการอยู่ในตำแหน่งที่จะรีดไถประชาชนได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น

ไม่นับว่าบรรดาข้าราชการเหล่านี้ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างยกเว้นความอยู่ดีกินดีและความเข้มแข็งของพลเมือง เพราะความภูมิใจของข้าราชการไทยคือการได้ชื่อว่าตนเองเป็นเจ้าคนนายคน

สิ่งที่ข้าราชการต้องการทำมากที่สุดคือ สร้างความยุ่งยากในขั้นตอนและระเบียบของงานราชการ เพื่อใช้ “ความยาก” เหล่านี้เป็นเครื่องมือในการเรียกสินบน ค่าน้ำร้อนน้ำชา ค่าใต้โต๊ะ

คนที่พยายามจะทำทุกอย่างตามกฎระเบียบจะต้องเผชิญกับทุกความยุ่งยากของกฎระเบียยบ ทำเท่าไหร่ก็ไม่ผ่าน ไม่สำเร็จ

แต่คนที่ทำทุกอย่างผิดระเบียบ แต่จ่ายสินบนให้ข้าราชการมีความมั่งคั่ง ก็กลายเป็นคนที่ทำอะไรก็ได้โดยง่ายดาย

ในยุคเผด็จการครองเมืองและระบบราชการเรืองอำนาจ สิ่งที่น่าปรารถนาที่สุดคือ ทุกธุรกิจที่ “ผิดกฎหมาย” เพราะใดๆ ที่ผิดกฎหมายคือที่มาของ สินบน เงินใต้โต๊ะ และจบที่ความมั่งคั่งของข้าราชการและนายใหญ่ของคนเหล่านี้

พวกเขาจึงไม่ต้องการเห็นหวยบนดิน ไม่ต้องการกาสิโนที่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องการเห็นศักดิ์ศรีของ sex workers และแม้แต่อาชีพค้าขายที่สุจริตเป็นปกติ เขาก็จะทำให้มันยากผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขอใบอนุญาต การยื่นแบบก่อสร้าง การเปิดร้านอาหาร การทำอะไรก็ตามที่คนพยายามจะทำตามกฎ จะกลายเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

ในขณะที่ปากพวกเขาก็บอกว่า รังเกียจความชั่ว การพนัน การดื่มเหล้า เข้าผับ บาร์

แต่การอ้างถึงความชั่วก็เพื่อระบบราชการและผู้มีอำนาจจะได้เป็นผู้ผูกขาดธุรกิจชั่วๆ นี้เพียงลำพัง ไร้คู่แข่ง แถมยังรีดไถคนในธุรกิจเหล่านี้ได้อย่างปรีดิ์เปรมเกษมสันต์

และในขณะที่รัฐบาลขู่ประชาชนให้อยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว อย่างเรื่องทำมาหากิน แต่ให้คิดถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ และอ้างว่าเราจะผ่านห้วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

การระบาดระลอกสองที่รัฐบาลเรียกว่าระลอกใหม่ กลับมาจากความจัญไรของระบบราชการเองที่มุ่งแสวงหาความมั่งคั่งจากธุรกิจที่ “ผิด” กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบนำแรงงานเข้ามาในประเทศหรือบ่อนการพนันที่เปิดได้เปิดดี ในขณะที่โรงเรียน สวนสาธารณะ หรือแม้แต่ฟิตเนส กลับเป็นสถานที่แรกที่ต้องโดนสั่งปิด

และโดยธรรมชาติสันดานของเผด็จการและระบบราชการขี้ข้าเผด็จการ สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือ เรียกร้องความร่วมมือและความเสียสละจากประชาชน

และในการระบาด “ระลอกใหม่” นี้ ฉันก็ได้พยายามอีกครั้งที่จะสื่อสารกับสังคมไทย (หมดหวังกับการสื่อสารกับรัฐบาลไปนานแล้ว) ว่า ประชาชนต้องเรียกร้องให้รัฐบาล “รับผิดชอบ”

รับผิดชอบหนึ่ง คือ การระบาดระลอกใหม่นี้เกิดจากความเฮงซวยของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นแรงงานข้ามแดนมาอย่างผิดกฎหมาย หรืออย่างเลวที่สุดคือ ต่อให้พวกคุณรับเงินจากนายหน้าเอาแรงงานเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย (ด้วยเหตุว่าพวกคุณเองนั่นแหละที่ทำให้การเข้ามาอย่างถูกกฎหมายเป็นสิ่งที่ “แพง” เกินไป) อย่างน้อยก็รับสินบนไปพร้อมๆ กับให้คนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการคัดกรองทางสุขภาพก็ยังเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่ามีความรับผิดชอบและไม่มักง่ายจนเกินไป

แต่ความไม่มักง่ายก็ไม่ใช่สิ่งที่เราเรียกร้องได้จากระบบราชการที่ตะกละตะกลามและเหลิงในอำนาจเช่นที่เป็นอยู่ได้

รับผิดชอบที่สอง คือบ่อน ที่เปิดโดยการรู้เห็นเป็นใจจากข้าราชการนั่นแหละ

และเช่นเดิมคือความมักง่าย อันที่จริงคนไทยก็พร้อมจะหลับตาข้างหนึ่งให้ความระยำของระบบราชการ แต่ขอแค่เก็บส่วยจากบ่อน แต่ขณะเดียวกันก็ให้บ่อนเหล่านั้นติดตั้งระบบคัดกรอง ตรวจสุขภาพ เล่นไพ่สบายใจไร้โควิด เพื่อตัวเองจะได้มีรายได้จากบ่อนสืบไป

แต่ก็นั่นแหละ เผด็จการมักคิดสั้นและไม่หวังผลประโยชน์ระยะยาว โกยได้โกย หนีได้หนี ไม่มีคำว่า accountability ในพจนานุกรมของคนเหล่านี้อยู่แล้ว

สุดท้าย สั่งประชาชนอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ แต่โควิดมาจากพวกท่านทั้งนั้นเลย

น่าสมเพชสลิ่มล้างมือด้วยแอลกอฮอล์จนมือเปื่อย สุดท้ายเผด็จการที่ตัวเองรักหนักหนานั่นแหละ พาโควิดระลอกใหม่มาฝาก

แต่ที่มหัศจรรย์คือสลิ่มยังโง่ต่อ สรรเสริญรัฐบาล สรรเสริญหมอโฆษก แล้วบอกว่าอยากจับแรงงานพม่าไปฆ่าให้หมดบ้าง ไม่ขายของให้คนพม่าบ้างอะไรบ้าง (เออ ขอภาวนาให้มึงเจ๊ง) ด่าแม่ค้าตลาดนัดที่ไปเที่ยววอร์มอัพว่าร่านไปทั่วบ้างอะไรบ้าง

สุดท้าย ซูเปอร์สเปรดเดอร์ เป็นดีเจมะตูม ซึ่งสลิ่มพากันเงียบกริ๊บ ไม่เหมือนตอนด่าผีน้อย หรือแรงงานพม่าที่สมุทรสาคร ไม่เหมือนคราวที่ด่าผู้หญิงไทยที่ไปทำงานกาสิโนท่าขี้เหล็ก

ความน่าเวทนาของสลิ่มชนชั้นกลางไทยคือ ตัวเองก็แทบเอาตัวไม่รอด แต่นิยมสวมบทบาทคนใช้ หรือคนขับรถในบ้านเจ้านายคนรวยในละครหลังข่าว

แล้ววันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากคิดหาวิธีประจบประแจงเจ้านายอย่างโง่ๆ แล้วเหยียบย่ำคนจนด้วยกัน ด้วยการแสดงตัวว่า ชั้นคือขี้ข้าที่ภักดีต่อนาย

และพัฒนาทักษะว่าด้วยการเป็นลูกขุนพลอยพยักอย่างไม่แคร์ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของตนเอง

สลิ่มชนชั้นกลางไทยจึง entertain ตัวเองด้วยการด่าคนจน

ด่าคนชนชั้นปากกัดตีนถีบด้วยกันแล้วพาเหรดตัวเองไปกราบกรานชนชั้นนำ ไปพูดภาษาเดียวกันกับประยุทธ์

ด่ากะหรี่ ด่าแรงงานต่างด้าวแล้วแห่กันไปให้กำลังใจดารา ดีเจ บลา บลา บลา

และความฟินเดียวที่ได้คือ ได้ฟินว่า ตนเองเป็นขี้ข้ามีสังกัด เป็นขี้ข้าที่คิดไปเองว่าเจ้านายจะรัก แม้นตัวตายก็ตายอย่างหมามีปลอกคอ

ส่วนชนชั้นนำไทยและเผด็จการไทยก็เก่งเหลือเกินในการร้อยก้น “สลิ่ม” เหล่านี้ให้เป็นลิ่วล้อหนุนนำอำนาจของตนเองและช่วยกันกดขี่ “ขี้ข้า” ด้วยกัน และร้อยก้นหลอกให้สลิ่มเหล่านี้เชื่อว่าตนเองคือหนึ่งในวงศ์วานแห่งความเป็น “ชนชั้นพิเศษ” ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ความดี ความกตัญญู ได้ถูกนับญาติเป็นญาติในมโนฯ ให้สลิ่ม “จิ้น” และ “ฟิน” ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ “ครอบครัว” อันแสนพิเศษ

คล้ายๆ กับการเป็นคนใช้หรือคนขับรถในคฤหาสน์อันโอ่อ่า แล้วก็คิดไปเองว่าตนเองนั้นเป็นผู้ดิบผู้ดีกว่าอีพวกที่อยู่นอกรั้วคฤหาสน์

“ขี้ข้า” ส่วนใหญ่ในสังคมนั้นไม่ต้องการเป็นขี้ข้าใคร แต่อยากเป็น “ไท” แก่ตัว สามารถกำหนดความฝัน ชีวิต และอนาคตของลูกหลายตนเองได้ตามกำลังความสามารถที่มีอยู่

แต่ “ขี้ข้า” ในคฤหาสน์ ถูกร้อยก้นให้เข้าใจว่าการมี “นาย” คุ้มกะลาหัว คือการเป็น “ขี้ข้าที่อยู่เหนือขี้ข้าทั้งปวง” จึงทำทุกอย่างที่จะปกป้องระบบ “นายว่าขี้ข้าพลอย” และพร้อมอุทิศชีวิตตนเองปกป้องระบบนี้เอาไว้

ในขณะที่ประเทศที่เห็นคนเป็นคน พยายามชดเชยรายได้ให้กับพลเมืองของตนเองโดยไม่เลือกยากดีมีจน และพยายามจัดหาวัคซีนหรืออย่างน้อยการเข้าถึงการตรวจหาเชื้อเพื่อนำไปสู่การควบคุมการระบาด

แต่ประเทศที่เถลิงอำนาจของชนชั้นนำและระบบราชการไว้ด้วยการให้ขี้ข้ากับขี้ข้าทะเลาะกันเองไปเรื่อยๆ สามารถออกแบบระบบการชดเชยเยียวยาให้เหล่าขี้ข้าต้องมาแย่งชิงสิทธิคนละครึ่ง หรือวงเงินในแอพพลิเคชั่นไม่กี่ร้อยบาทเพียงเพื่อซื้อข้าวสาร น้ำมันพืช ไข่ไก่ ราวกับการโปรยเศษขนมปังหมดอายุลงในบ่อปลาสวายในเขตอภัยทาน

สูงสุดของระบอบเผด็จการคือการทำลายศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา และเขาก็ทำได้

เขาทำได้จริงๆ