‘เอ ศุภชัย’ ผู้จัดการซุป’ตาร์ เปิดเคล็ดลับผ่าโควิด เล็กเป็นเมล็ดถั่วเขียว พลังอำนาจเหมือนปรมาณู / สัมภาษณ์พิเศษ

สัมภาษณ์พิเศษ

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง

 

‘เอ ศุภชัย’ ผู้จัดการซุป’ตาร์

เปิดเคล็ดลับผ่าโควิด

เล็กเป็นเมล็ดถั่วเขียว

พลังอำนาจเหมือนปรมาณู

 

เป็นที่รับรู้กันว่า “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร เป็นผู้ที่มีความกตัญญูคนหนึ่งของวงการบันเทิง

อย่างล่าสุดไปร่วมงานวันเกิด “เพชรา เชาวราษฎร์” ในโอกาสครบรอบ 78 ปี นักปั้นมือทอง ผู้นี้ก็มอบของขวัญเป็นเงินสด 3 หมื่นบาทให้อดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง พร้อมแจกแขกร่วมโต๊ะคนละพัน

โดยเจ้าตัวบอกติดตลกว่า “พี่อี๊ดเป็นนักแสดงในสังกัดของพี่เอด้วยเพราะเคยชวนไปเล่นโฆษณา”

ช่วงเวลาที่อยู่ในงานมีโอกาสนทนากับผู้จัดการนักแสดงชื่อดังวัย 47 รายนี้ ในหลากหลายประเด็น ทั้งเรื่องงานในวงการบันเทิงและบรรดาธุรกิจที่ทำอยู่ สะท้อนวิธีคิดและมุมมองที่น่าสนใจ โดยใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “พี่เอ” ตลอด

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมีน้องๆ ในสังกัดหลายสิบคนที่ล้วนอายุน้อยกว่า

: ขออัพเดตหน่อย ตอนนี้ทำอะไรบ้าง

ยังเป็นผู้จัดการดาราเหมือนเดิม เป็นผู้จัดการน้องอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ น้องณเดชน์ และหลายๆ น้อง มีหลายคนที่ทำงานด้วยอยู่ ตอนนี้ก็มีงานอื่นขึ้นมาคือเป็นผู้จัดละครช่อง 7 เรื่องที่ทำอยู่คือ “แม่เบี้ย” ถามว่าจะออนแอร์เมื่อไหร่ คงต้องรออีกสักพักหนึ่ง เพราะว่าติดโควิดด้วยการถ่ายทำเลยล่าช้าไป อีกสัก 4-5 เดือนน่าจะได้ดูกัน

: มีนักแสดงในสังกัดกี่คน

นับไม่ถ้วนเลย เยอะ มีณเดชน์ อั้ม พัชราภา เจมส์ มาร์ คิมเบอร์ลี่ คือทุกคนอาจไม่ได้เป็นดาราชั้นนำ แต่พี่เอก็มีความสุขกับการทำงานและเรามีลูกน้องช่วยกันดูแล ช่วยกันหาโฆษณา เดี๋ยวนี้การเป็นผู้จัดการไม่ได้เป็นจ๊อบบายจ๊อบ เหมือนเราต้องทำทั้งชีวิต ทำอย่างไรให้คนดูถูกอาชีพดาราไม่ได้

คนจะได้เห็นว่าอาชีพดาราเป็นอาชีพที่สังคมยกย่อง ไม่ได้เป็นอาชีพเต้นกินรำกินเหมือนสมัยก่อน คือเราต้องพัฒนาตรงนั้นให้ได้ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่ออาชีพนี้และวงการบันเทิงด้วย เพราะฉะนั้น ดาราของพี่เอส่วนใหญ่จึงมีพื้นฐานอาชีพที่ประสบความสำเร็จ และเราอยากให้ดีไปจนถึงคนจำ

: ได้ชื่อเป็นนักปั้นมือทอง

ตอนแรกเราอยากเป็นดารา แล้วรู้สึกว่ามันไปไม่ถึง จะว่าเราสวยก็ไม่สวย จะหล่อก็ไม่หล่อ เพียงแค่หน้าตาดีอย่างเดียว รู้สึกว่าเอาส่วนดีของเราไปบุกเบิกอาชีพอื่นดีกว่า เลยไปทำอาชีพดูแลดาราแทน

คือถ้าตอนนั้นเราไปทำอาชีพดารา อาจไปไม่ถึง ตอนนี้อาจจะเฟดไปแล้ว

คือถ้าเรารู้ว่าเจอทางตันสำหรับอาชีพอื่น เราก็ต้องไปทางอ้อม

: มีเคล็ดลับอะไรที่สามารถปั้นนักแสดงดังทุกคน

เราทำด้วยใจ คือบางทีเหมือนทำกับข้าว ถ้าไม่ขี้เหนียวเครื่องปรุงมันก็อร่อย แต่ถ้าคิดเพียงว่าจะทำขายจานละ 25 บาท แต่วัตถุดิบเราให้แค่ 10 บาท ทำอย่างไรมันก็ไม่อร่อย เวลาทำอะไรจะไม่คิดถึงกำไรก่อน เราจะคิดถึงความอร่อยก่อน

ทำดาราเหมือนกัน เราต้องทำทุกอย่างให้เขาสวย หล่อ และเพอร์เฟ็กต์ก่อนในเรื่องการแสดง จะไม่คิดว่าเดี๋ยวจะต้องได้เงินจากคนนี้ร้อยล้านพันล้าน ไม่เคยคิดถึงตรงนี้ก่อนเลย อันนั้นคือสิ่งที่ตามมาทีหลังเมื่อเราทำไปแล้ว

แต่เริ่มแรกคือเต็มที่ไปกับมัน สุดไปกับมัน ถ้าสุดแล้วก็จะได้ ถ้าคนไหนที่พี่เอรักสุดไม่มีทางที่คนนั้นจะไม่ดัง ถ้าบางคนที่รู้สึกไม่อยากปั้น มันจะไม่ได้อะไรขึ้นมา

คิดว่าดวงอาจมาทางด้านนี้ด้วย เหมือนนักวาดภาพแต่ละคนที่มีจังหวะและเทคนิคของแต่ละคน ซึ่งพี่เอเองก็มีดวงที่ดีทางด้านนี้ ในการอุ้มชู เหมือนเราเกิดมาเพื่อยืนเคียงข้างซุป’ตาร์ คือถ้าเราเป็นดาราเองอาจไม่ดังขนาดนี้ แต่พอเรามาเป็นผู้จัดการดารากลายเป็นคนที่มี่ชื่อเสียงขึ้นมา มันก็ง่ายในการบุกเบิก ง่ายในการไปขายงาน

ถ้าเป็นคนธรรมดาไปเขาอาจจะคิดว่าหลอกหรือเปล่า แต่พอเป็นเรา เป็นผู้จัดการดารานะ ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เขาก็จะให้การต้อนรับและให้โอกาส

: ในบรรดานักแสดงในสังกัดดูเหมือนสนิทสนมกับอั้ม พัชราภา มาก

ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิต แล้วเจอกับน้องยุ้ย-ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี คือพี่เอรหัส 34 น้องยุ้ยรหัส 36 แต่น้องอั้มรหัส 40 ตอนนั้นน้องยุ้ยจบแล้ว แต่พี่เอยังไม่จบเพราะเรียนไม่เก่ง ก็ไปเรียนกับน้องอั้มที่เป็นวิชาเลือกเสรีที่รุ่นพี่กับรุ่นน้องเรียนด้วยกันได้ นั่งโต๊ะติดกัน แล้วตอนนั้นลำบากไม่มีรถ และไปอยู่บ้านน้าหน่อยที่เป็นญาติน้องยุ้ย

น้องอั้มอยู่ตรงมีนบุรี ต้องขอติดรถเขากลับบ้าน เลยเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นดารา พอมีคนติดต่อให้เขาประกวดสาวแฮ็คส์ เราก็เห็นอยู่ วันหนึ่งเราเรียนจบ เขาก็เปิดโอกาสให้เป็นผู้จัดการเขา ซึ่งเขาปั้นเรา ไม่ใช่เอปั้นอั้ม อั้มบอกให้เอไปปั้นคนอื่นต่ออีกทีจะได้เงิน

: เรียกว่าเป็นคู่ที่เสริมกัน

ก็ตีกันบ้าง รักกันบ้าง อยู่กันนานไม่ได้ อยู่เกิน 3 วันจะตีกัน แต่ถ้านานๆ เจอกันทีจะรักกันมากเลย เมื่อก่อนนอนบ้านอั้มตลอด พี่เอก็นอนปลายเตียงอั้ม คือชอบนอนปลายเตียง ตื่นขึ้นมาเราก็ไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน

: จากผู้จัดการดารา มาเป็นผู้จัดละคร มีความแตกต่างกันไหม

มันก็ยากเพราะทำงานกับคนหมู่มากมากกว่า คือมีความยากไม่เหมือนกัน ผู้จัดการดาราเหมือนการปั้นน้ำให้เป็นตัว จากสิ่งที่ไม่มีชีวิต จากสิ่งที่คนมองไม่เห็น ให้คนเห็น ให้เป็นที่ตราตรึงของคนทั้งประเทศ แต่ผู้จัดละครจะเป็นการมิกซ์แอนด์แมตช์ในสิ่งที่มีอยู่แล้ว เหมือนการทำกับข้าว ทำอย่างไรก็ได้ให้คนอยากเดินเข้าร้านอาหาร แต่ถ้าเป็นนักปั้นเหมือนทำกับข้าวอย่างเดียวแต่ทำอย่างไรก็ได้ให้คนอยากกิน

: ทำไมถึงมาเป็นผู้จัดละคร

ละครมันช่วยซัพพอร์ตดารา บางทีเราไปขอเขาก็ไม่เอาเด็กเราเล่น แต่เราอยากให้คนเห็นว่าเด็กเราเก่ง เราก็เอาเงินเรามาเป็นผู้จัด ให้เจ้าอื่นเห็นว่าเด็กเราเก่ง ไม่ได้ต้องการเงินจากการเป็นผู้จัดละครเลย คืออยากได้แค่เวทีให้เด็กเราได้แสดงออก

ตอนนี้โมเดลลิ่งเยอะ เขาก็ไม่มองเด็กเรา เลยทำเอง เราไม่ได้ยึดติดเด็กไว้ที่ค่ายนะ อยากให้ค่ายอื่นเอาเด็กเราไปใช้งาน เพียงแค่เราปั้นให้เขาลงตัวทุกอย่าง เวลาทำละครเลยไม่ค่อยแคร์เรื่องเงิน คือเสียเงินได้ เสียหน้าไม่ได้

: ทราบว่าทำธุรกิจหลายอย่าง

มีร้านอาหาร Nice Two Meat U เป็นปิ้งย่างเกาหลี ทำกับรุ่นน้อง เราก็ทำหลายสาขา แล้วก็มีร้านตำแหล ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังแย่เพราะช่วงโควิดก็มีปิดบ้าง และมีทำข้าวสารยี่ห้อเอโอเค ด้วยการที่เราซื้อที่แล้วทำนา ข้าวในนามีเยอะ มีที่ประมาณเกือบ 50 ไร่แถวซอยวัชรพล พอเกี่ยวข้าวมีข้าวเหลือเราก็ไม่รู้จะเอาไปไหน

พอดีมีเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยรังสิต ทำโรงสีอยู่ที่สุพรรณบุรี เลยปรึกษาว่าอยากทำแบรนด์ข้าว ซึ่งเพื่อนก็โอเค แต่ขายแบบบีทูบีไม่ผ่านร้านค้า เพราะเรามีข้าว มีโรงสี และอยากช่วยชาวนาทั้งประเทศไทยด้วย ไปตระเวนซื้อข้าวทั่วประเทศไทย ที่เป็นข้าวใหม่ ข้าวหอม และเป็นข้าวเหนียวเขี้ยวงู มาที่โรงสี แล้วเอาข้าวไปตากในอุณภูมิ 25 องศา

ด้วยความที่ไม่ได้ขายกับลูกค้าโดยตรง แต่จะมีขายทั่วประเทศและมีขายตามยี่ปั๊ว วันละ 2-3 แสนกระสอบต่อเจ้า คือบอกราคาไม่ได้ว่าขายเท่าไหร่ เพราะเราอยากให้เขาไปทำธุรกิจต่อ ซึ่งไม่ต้องเป็นห่วงเพราะของเราเสียภาษีถูกต้องทุกอย่าง

: ปีนี้มีแผนทำจะทำธุรกิจอะไรอีก

ตอนนี้อยากทำร้านอาหารทะเลกับเพื่อนและรุ่นน้อง เดี๋ยวจะมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้ ถ้าโควิดมันดีขึ้น มีคนเดินห้าง อาจจะมีร้านอาหารทะเลขึ้นอีกสักร้าน

: เป็นคนดวงดีทำธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ

สำเร็จก็มี เจ๊งก็มี แต่ร้านที่เจ๊งนี่ ได้กำไรแล้วถึงเจ๊ง เลยไม่แคร์เพราะเราได้กำไรมามหาศาลแล้ว คือไม่เคยลงทุนทำอะไรแล้วขาดทุนเลย ด้วยความที่เราจริงใจกับผู้บริโภค

: เท่าที่ดูสไตล์การแต่งตัวไม่เหมือนใคร

เราก็บ้าๆ บอๆ เรามองสวย คนอื่นอาจจะมองไม่สวย คือรสนิยมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราแต่งแบบนี้ แต่บางคนอาจจะมองว่าเราบ้าหรือเปล่า เราก็ชอบแบบนี้ก็มีสไตล์ตัวเอง

: ถึงทุกวันนี้มองว่าถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จในชีวิตหรือยัง

ยังเลย เพราะถ้าคิดว่าสำเร็จเดี๋ยวเราจะไม่เดินต่อ คิดว่าเพิ่งเริ่มเข้าวงการบันเทิง ตอนนี้ก็มีเด็กรุ่นใหม่อายุ 16-17 ที่รอเข้าวงการบันเทิงอยู่เยอะเลย ที่รอฟูมฟัก ที่รอเรียนแอ๊กติ้ง

ถามว่าเด็กที่เราปั้นจำเป็นต้องเป็นลูกครึ่งไหม ไม่จำเป็นเลย เพราะประเทศไทย คนกินทั้งพิซซ่า น้ำพริกปลาร้า ส้มตำ แกงไตปลา ข้าวเหนียว เราต้องมีให้ครบมันถึงจะสนุก ถึงจะแซบ

: ช่วงโควิดวงการบันเทิงซบเซา แต่นักแสดงในสังกัดมีงานเข้าตลอด

ใช่ งานน้องอั้ม พัชราภา มีโฆษณาเข้ามาเต็มเลย ตอนนี้เราต้องขยัน ต้องวิ่งไปขายงานลูกค้า ไม่ใช่ว่าบอกแค่ว่าเด็กเราสวยเราหล่อ แต่ต้องบอกด้วยว่าเด็กเราทำอะไรได้บ้าง ทำอย่างไรให้เพิ่มยอดขายเพราะเราเป็นเจ้าของโปรดักต์ จงทำตัวให้เล็กที่สุด จงทำตัวให้เป็นเหมือนเม็ดถั่วเขียว แต่พลังอำนาจเหมือนปรมาณู มีดาบก็ต้องแอบซ่อนไว้ อย่าชักบ่อย ไว้ชักตอนมีสงคราม นี่คือเคล็ดลับของเรา

บางคนเด็กดังก็ทำตัวกร่าง แต่เราไม่ใช่ พี่เอไปไหนกราบเขา ไหว้เขาไปเถอะ คือเรามาจากไม่มีอะไร และพี่เอก็ชอบทำบุญ แต่เราไม่ได้คาดหวังหรอกว่าจะได้กลับมา เพราะถ้าคิดว่าการทำบุญแล้วเราต้องได้อะไรตอบแทนกลับมา จะไม่ค่อยได้ ตอนนี้พี่เอก็มีความสุขกับการให้ เหมือนตอนน้องอั้มมาปล้น (นำเงินจากกระเป๋าสตางค์ไปหลายหมื่นบาท) เราก็คิดว่าถ้าเราไม่มีนางวันนั้น เราก็ไม่มีวันนี้เหมือนกัน เงินแค่นั้นก็ช่างเถอะถือว่าเป็นค่าครู (หัวเราะ)

: ถามเรื่องชีวิตรักบ้าง

ไม่เอา ไม่พูดเรื่องความรัก คิดแต่เรื่องงาน ตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องงาน ไม่ขอโฟกัสเรื่องความรัก เพราะว่าอยากอยู่ให้คนชื่นชม เราไม่อยากไปชื่นชมคนอื่น ส่วนสเป๊กเราไม่มีเลย คิดว่าชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขดี ลั้ลลาไปวันๆ ไม่ต้องโทร.หาใคร ไม่ต้องเช็กอะไรใคร

ทั้งหมดนี้คงทำให้ได้เห็นกันแล้ว “เอ ศุภชัย” ใช่จะประสบความสำเร็จในอาชีพนักปั้น-ผู้จัดการอย่างเดียว แต่ยังทำธุรกิจรุ่งอีกด้วย