ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต/บีเอ็มดับเบิลยู ‘ซีรีส์ 5 ใหม่’ ขุมพลัง ‘ดีเซล’ และ ‘ไฮบริด’

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

 

บีเอ็มดับเบิลยู ‘ซีรีส์ 5 ใหม่’

ขุมพลัง ‘ดีเซล’ และ ‘ไฮบริด’

 

สิ้นสุดการรอคอยของสาวก “ใบพัดฟ้าขาว” บีเอ็มดับเบิลยู เมื่อรถรุ่นดังอย่าง “ซีรีส์ 5” เจเนอเรชั่นที่ 7 ได้ฤกษ์เผยโฉม

มาพร้อมกัน 2 รุ่นเครื่องยนต์หลักคือ บีเอ็มดับเบิลยู “520d M Sport” ขุมพลังดีเซล

และบีเอ็มดับเบิลยู “530e Elite” กับ “530e M Sport” ขุมพลังไฮบริดลูกผสมเบนซิน+มอเตอร์ไฟฟ้า แตกต่างกันที่การตกแต่ง

“ซีรีส์ 5” ถือเป็นพรีเมียมซีดานรวมกลิ่นอายความสปอร์ต รูปลักษณ์ที่สง่างาม และเทคโนโลยีล้ำสมัยแห่งอนาคตเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

ตั้งแต่เจนฯ แรกที่เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ.2515 ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด

และในต้นปี 2564 บีเอ็มดับเบิลยูเบิกโรงเป็นรุ่นแรกของค่าย

 

มาในคอนเซ็ปต์ “Change the way you lead. Lead the way you change” เน้นย้ำถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เหนือกว่า เพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสโลกที่มีความสมดุลของการใช้ชีวิตในหลากหลายด้าน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายในโลกปัจจุบัน

ดีไซน์ภายนอกสะดุดตาด้วยเส้นสายทรงพลังทั้งบริเวณด้านหน้าและท้ายรถ กระจังหน้าทรงไตคู่มีขนาดใหญ่ขึ้น 20% ในรูปทรงแปดเหลี่ยมแบบใหม่ ยาวลงมาบรรจบกับกันชนหน้า ล้อมรอบด้วยกรอบที่เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว

ส่วนบนของซี่ในกระจังหน้ายื่นออกมาเล็กน้อย สร้างมิติสอดรับกับไฟหน้า Adaptive LED รูปตัว L ในดีไซน์เรียวยาว สร้างความดุดันยิ่งขึ้น

ช่องดักอากาศแนวตั้งทั้งสองข้างบนกันชนหน้าเสริมความโดดเด่นให้แก่การเล่นเส้นสายของดีไซน์แบบใหม่

ไฟท้าย LED มาในรูปแบบสามมิติทรงตัว L รับกับไฟหน้า โฉบเฉี่ยวด้วยกรอบสีดำ

ไฟท้ายและไฟเบรกได้รับการออกแบบมาให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว เสริมลุคสปอร์ตด้วยท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมู

การออกแบบเน้นความปราดเปรียวและลู่ลมทำให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้าน (Cd) ต่ำเพียง 0.23

ในรุ่น “M Sport” อัดแน่นด้วยชุดแต่ง “M Aerodynamics” เต็มเหนี่ยวรอบตัว

บีเอ็มดับเบิลยู “520d M Sport” รวมถึงล้ออัลลอย M น้ำหนักเบา ลาย Double-spoke ขนาด 18 นิ้ว

ส่วน “530e M Sport” ได้ล้อโตขึ้นขนาด 19 นิ้ว ลาย Y-spoke ขณะที่ “530e Elite” มาพร้อมล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ลาย Double-spoke

 

การตกแต่งภายในยังเฉียบคมและสปอร์ตหรูหราเหมือนเดิม

ห้องโดยสารผสานทั้งความสง่างามและความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นสำคัญ ตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียมและงานฝีมือ

ทั้งสามรุ่นมาพร้อมเบาะหนังแท้ Dakota

บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e M Sport ตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Rhombicle Smoke Grey พร้อมแถบโครเมียม ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู 530e Elite ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงาพร้อมแถบโครเมียม

ปุ่มบริเวณคอนโซลกลางมาในสีดำเงาเพื่อความหรูหรา ตัดกับพวงมาลัยหุ้มหนังมัลติฟังก์ชั่น M Sport พร้อมคอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec ในรุ่น 520d M Sport และ 530e M Sport

บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e M Sport มาพร้อมจอ BMW Head-up Display และระบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานบนระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด BMW Operating System 7

ระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะ (Comfort Access System) ที่รองรับ BMW Digital Key ซึ่งเปลี่ยนให้ iPhone กลายเป็นเหมือนกุญแจรถ สามารถล็อกและปลดล็อกรถได้โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระยะสั้นแบบ NFC (Near Field Communication) โดยรองรับผู้ใช้ได้สูงสุดถึง 5 คน

ผู้ขับขี่สามารถเลือกควบคุมระบบการทำงานของรถยนต์ ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร ระบบการเชื่อมต่อ และระบบนำทางได้ผ่านทางจอ Control Display ระบบสัมผัส ระบบ iDrive ปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย ระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่าน BMW Intelligent Personal Assistant และ BMW gesture control

 

หัวใจสำคัญเริ่มจากบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง

บีเอ็มดับเบิลยู 530e Elite และ 530e M Sport มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,000 รอบต่อนาที

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริด ส่งกำลังรวมสูงสุด 292 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 420 นิวตันเมตร

สามารถเพิ่มกำลังส่งในการเร่งความเร็วได้มากยิ่งขึ้นด้วยระบบ XtraBoost ซึ่งปลดปล่อยพละกำลังเสริมมากถึง 40 แรงม้า ภายในเวลาเพียง 10 วินาทีเมื่อขับขี่ในโหมด SPORT

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 5.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง

หากใช้เฉพาะมอเตอร์ไฟฟ้า ขับขี่สูงสุด 52 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 12.0 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะหลัง

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ใหม่ในระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริดทั้งสองรุ่น มีระดับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยต่ำเพียง 41 กรัมต่อกิโลเมตร ตามการอ้างอิงผล ECO Sticker

ต่ำที่สุดในกลุ่มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดขนาดใหญ่ในไทย

 

ระบบรองรับใหม่เพลาหน้าแบบปีกนกคู่และเพลาหลังแบบ five-link ขับขี่ได้อย่างนุ่มสบายทั้งในชีวิตประจำวันและขณะเดินทางไกล รวมถึงในการขับขี่ที่ต้องใช้ความคล่องตัวสูง

ฐานล้อที่ยาวและกว้าง รวมทั้งการออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบา และการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น

บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport ยังพกพาระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) ที่มีระยะกว้างกว่ารุ่นก่อนหน้า ส่งล้อหลังมาช่วยเสริมสมรรถนะการเข้าโค้งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วมากกว่า 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังช่วยเสริมความคล่องตัวขณะเข้าจอด

บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport มาพร้อมช่วงล่างแบบ Adaptive ขณะที่รุ่น 520d M Sport มาพร้อมช่วงล่างแบบ M Sport

ส่วนเทคโนโลยีความปลอดภัยหายห่วง บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e M Sport มีระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) และฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในสภาวะต่างๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go (Active cruise control with Stop & Go function)

ระบบควบคุมความเร็วคงที่ พร้อมฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with braking function)

เซ็นเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor) ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection) ระบบ Active Protection และเซ็นเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control)

บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport ยังมาพร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus)

บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport ราคา 3,539,000 บาท

บีเอ็มดับเบิลยู 530e Elite ราคา 2,999,000 บาท

และบีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport ในราคา 3,739,000 บาท

ทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard ซึ่งครอบคลุมการบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร และการรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง