เมื่อ ‘มาดามเจียง’ บุก ทำเนียบขาว, สภาคองเกรสมะกัน / กาแฟดำ (ฉบับประจำวันที่ 29 ม.ค.- 4 ก.พ. 2564 ฉบับที่ 2111)

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

 

เมื่อ ‘มาดามเจียง’ บุก

ทำเนียบขาว, สภาคองเกรสมะกัน

 

ถ้าวันนี้ใครบอกว่าสหรัฐกับจีนเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอาจจะไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่

เพราะเรื่องเล่าตลอดประวัติศาสตร์ช่วงหลังนี้สองยักษ์ใหญ่มีแต่เรื่องความขัดแย้งและสงคราม

แต่ครั้งหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐเข้ามาช่วยจีนที่นำโดยเจียงไคเช็กที่ปกครองสาธารณรัฐจีนขณะที่เขายังประหัตประหารกับเหมาเจ๋อตุงที่เป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่

ศัตรูร่วมของทั้งสองคือญี่ปุ่นที่รุกรานจีน

ญี่ปุ่นบุกจีนในปี 1937 และยึดเมืองใหญ่ๆ ของจีนได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องเผชิญกับแรงต้านของประเทศตะวันตกหลายชาติที่มีอิทธิพลอยู่ในจีนขณะนั้น

ในบรรดาประเทศตะวันตกนั้น สหรัฐเป็นประเทศแรกที่ยื่นมือช่วยจีนโดยหวังจะสกัดการรุกคืบของญี่ปุ่น

สหภาพโซเวียตเป็นสหายของจีนเพราะมีความขัดแย้งกับญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

มอสโกส่งหน่วยทหารอาสาสมัครจากกองทัพอากาศมาช่วยจีนในช่วงปีแรกของการสู้รบกับญี่ปุ่น

แต่หลังจากนั้นสหรัฐก็ยื่นมือเข้าช่วยจีนต้านญี่ปุ่นอย่างเต็มกำลัง

แรกเริ่ม วอชิงตันช่วยจีนอย่างไม่เป็นทางการ และหลายเรื่องเป็น “กิจการลับสุดยอด” ด้วยซ้ำไป

ผู้ประสานระหว่างจีนกับสหรัฐขณะนั้นคือสุภาพสตรีคนดัง “มาดามซ่งเหม่ยหลิง” ภรรยาของนายพลเจียงไคเช็ก, ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐจีน

เธอเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงนั้นว่า “มาดามเจียง”

โปสเตอร์อเมริกันเชียร์จีน : “จีนสู้และเสียสละเพื่อเรา!”

เธอเกิดที่เกาะไหหลำในปี 1897 แต่ไปโตที่สหรัฐ

ปี 1908 เธอและพี่สาว “ซ่งชิงหลิง” ไปเรียนหนังสือที่สหรัฐ

เธอเองเข้ามหาวิทยาลัยผู้หญิงชื่อดังคือ Wellesley College ในปี 1913

ด้วยเหตุนี้เธอจึงพูดและเขียนภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว และมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมอเมริกันอย่างดียิ่ง อีกทั้งยังเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัดด้วย

มาดามเจียงเรียนดนตรี, วรรณคดีและสังคมศาสตร์อย่างลึกซึ้ง

ต่อมาเธอศึกษาทฤษฎีการบิน และการออกแบบเครื่องบิน อีกทั้งยังให้ความสนใจอย่างยิ่งยวดในนิตยสารเกี่ยวกับชิ้นส่วนเครื่องบินและมาตรฐานการบินต่างๆ

ไม่แต่เท่านั้น มาดามเจียงก็ยังเป็นผู้นำการเจรจากับนักธุรกิจต่างชาติอย่างคล่องแคล่วอีกด้วย

ไม่ช้าไม่นานเธอก็ได้รับฉายาว่าเป็น “มารดาแห่งกองทัพอากาศของจีน”

เมื่อเธอต้องช่วยสามีสู้กับญี่ปุ่น (และเหมาเจ๋อตุงในเวลาต่อมา) มาดามเจียงเชิญนักบินอเมริกันชื่อพลโท Claire Lee Chennault มาช่วยพัฒนากองทัพอากาศของจีน

นายพลมะกันคนนี้แหละที่กลายเป็นคนสำคัญในการตั้งหน่วยรบทางอากาศช่วยนายพลเจียงไคเช็กทำสงคราม

เขากลายเป็นผู้ผลักดันรัฐบาลอเมริกันและออกข่าวให้คนอเมริกันร่วมกันสนับสนุนให้รัฐบาลของตนช่วยเหลือจีนในการทำสงคราม

เป็นที่มาของการตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐขณะนั้น Franklin Delano Roosevelt หรือ FDR อนุมัติให้สหรัฐทำ “ข้อตกลงลับ” ส่งเครื่องบินรบ P-40 รุ่นล่าสุดไปช่วยจีน

อีกทั้งยังอนุมัติให้ทหารอเมริกันที่เกษียณแล้วหรือในกองกำลังสำรองไปอาสาร่วมรบข้างเดียวกับจีน

หลังจากนั้นมีการก่อตั้งกองกำลังทางอากาศร่วมเฉพาะกิจที่เรียกว่า Chinese-American Composite Wing (Provisional) ในการต้านญี่ปุ่น

ผลก็คือญี่ปุ่นต้องถอยร่นไปในหลายจุดทีเดียว

มาดามเจียงกับประธานาธิบดี Franklin Roosevelt และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐ Eleanor (ด้านซ้ายของมาดามเจียง)

วันที่ 1 สิงหาคม 1941 มีการก่อตั้งกลุ่มอาสาสมัครสหรัฐ (American Volunteer Group หรือ AVG) ที่เมืองคุนหมิงทางใต้ของจีน

ในเดือนธันวาคมปีนั้นเองนักรบมะกันกลุ่มนี้ตีพ่ายญี่ปุ่นในการปะทะกันครั้งแรก

สาเหตุที่ได้ชัยชนะอย่างชัดเจนก็เพราะมีฝูงบินจากอเมริกามาช่วย

รูปที่วาดติดบนเครื่องบินของฝูงบินนี้เป็นรูปหัวปลาฉลาม แต่ดูละม้ายคล้ายกับเสือ

เป็นที่มาของสมญา “Flying Tigers” หรือ “หน่วยรบเสือบิน” จนถูกจารึกเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐในช่วงนั้น

โลโก้ถูกออกแบบโดยมืออาชีพจาก Walt Disney Studios เลยทีเดียว

ถือเป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐกับจีนที่แน่นเหนียวในยามที่ยังมีความคาดหวังว่าจีนจะกลายเป็นพันธมิตรของสหรัฐหากสามารถขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากจีน

สงครามโลกครั้งที่สองเปิดฉากขึ้นในแปซิฟิกในเดือนธันวาคม 1941 หลังญี่ปุ่นถล่ม Pearl Harbour ของสหรัฐ ทำให้อเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ

นั่นเป็นจุดที่มีการปรับรูปแบบและโครงสร้างของ AVG นักรบทางอากาศของสหรัฐที่มาช่วยจีนหลายครั้งก่อนที่จะแปรสถานภาพเป็นหน่วยรบทางอากาศเต็มรูปแบบที่เรียกว่า 14th Air Force

กองทัพอากาศจีนส่งนักบินไปฝึกที่อินเดียและสหรัฐ

พอฝึกเสร็จ นักบินของจีนเหล่านี้แหละที่กลับมากลายเป็นแกนสำคัญของกองทัพอากาศจีน

ในช่วงเวลานั้น มาดามเจียงก็ทำหน้าที่เป็นทูตพิเศษของจีนที่กล่าวปราศรัยผ่านสื่อต่างๆ ให้นักการเมืองและประชาชนคนอเมริกันเห็นความสำคัญของการจับมือกับจีนเพื่อเอาชนะสงครามให้ได้

เธอกลายเป็น “เซเลบ” ที่ทั้งสวย, ทั้งเก่ง และมีเสน่ห์ที่สื่อสหรัฐทุกสำนักต้องติดตามถ่ายรูป, สัมภาษณ์และเกาะติดความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของเธอ

บันทึกประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญที่สุดสำหรับมาดามเจียงเห็นจะเป็นการไปเยือนสหรัฐเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1943 ในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก

นั่นเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน

ที่ฮือฮาเป็นพิเศษคือการที่มาดามเจียงได้เข้าพบประธานาธิบดี Franklin Roosevelt และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของอเมริกา

ยิ่งกว่านั้นยังได้รับเชิญให้กล่าวปาฐกถาให้สมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐฟังอย่างเกรียวกราวด้วย

การที่สุภาพสตรีจากจีนซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาและไร้ศักยภาพระดับโลกมีโอกาสได้ปรากฏตัวต่อหน้าสภาคองเกรสถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง

เพราะสหรัฐต้องการจะดึงให้จีนเป็นพวกเพื่อยันกับสหภาพโซเวียต

มาดามเจียงยังไปพบปะกับชาวจีนโพ้นทะเลในอเมริกาเพื่อปลุกระดมให้สนับสนุนการทำสงครามกับญี่ปุ่นที่บ้าน

เธอเป็นทั้งนักการทูตชั้นนำ และเป็นนักพูดที่สามารถน้าวโน้มผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม

มาดามเจียงกล้าใช้ภาษาตรงๆ ในการตอกย้ำความสำคัญของอเมริกาที่จะต้องช่วยจีนในการสกัดการรุกคืบของญี่ปุ่น

เธอวาดภาพให้เห็นว่าหากญี่ปุ่นยึดจีนได้จะกลายเป็นมหาอำนาจเผด็จการที่ยึดครองเอเชียทั้งหมด

เป็นภาพที่น่ากลัวสำหรับคนอเมริกันในขณะนั้นเพราะนาซีเยอรมันและญี่ปุ่นวันนั้นเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นที่ยึดมั่นในหลัก “ฟาสซิสต์” ที่เป็นศัตรูสำคัญต่อเสรีนิยมและคอมมิวนิสต์ที่กำลังปราฏตัวขึ้นอย่างชัดเจน

ตัวละครที่สำคัญอีกคนหนึ่งในขณะนั้นคือ Henry Robinson Luce เจ้าของนิตยสาร Time, Fortune กับ Life อันทรงอิทธิพล

เขาเกิดที่เมืองชานตงของจีนในปี 1898 และมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับนายพลเจียงไคเช็กอย่างยิ่ง

พ่อแม่เป็นหมอสอนศาสนาอเมริกันที่ถูกส่งไปประจำประเทศจีน เขาจึงโตในประเทศจีนและมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของจีนอย่างลึกซึ้ง

เฮนรี ลุส ใช้สื่อที่มีคนอ่านจำนวนมากในสหรัฐเป็นเครื่องมือสนับสนุนเจียงไคเช็กอย่างออกหน้าออกตา

เดือนกุมภาพันธ์ 1941 เขาตั้งกองทุนช่วยเหลือจีนชื่อ United China Relief และเชิญชวนให้ศิลปินคนดังของสหรัฐทำโปสเตอร์เพื่อกระตุ้นให้คนอเมริกันช่วยจีน

โปสเตอร์เหล่านี้เน้นว่าคนจีนสู้ศึกอย่างทุ่มเทและเสียสละเพื่อคนจีนและสหรัฐด้วย

แต่แล้วเมื่อเหมาเจ๋อตุงเข้ายึดปักกิ่งในปี 1949 และนายพลเจียงไคเช็กต้องหนีไปตั้งหลักที่เกาะไต้หวัน…สหรัฐกับอเมริกาก็ประกาศเป็นศัตรูทางอุดการณ์ทางการเมืองอย่างร้อนแรง!