ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
นับเป็นบทสนทนาที่ร้อนระอุในแอพพลิเคชั่นไลน์ ที่หลุดกันอย่างโจ่งแจ้ง
ระหว่าง “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ หรือเจ้าชายสายฟ้า อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับ นายเถกิง สมทรัพย์ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง
ในใจความของบทสนทนามีการพูดถึงแนวทางการทำงานของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่อยู่นานและทำท่าจะเสียของ
โดยเฉพาะกับการโค่นล้มระบบทักษิณ ซึ่งในบทสนทนามีการเกรงว่าหาก คสช. อยู่นานกว่านี้ คะแนนนิยมจะสะวิงกลับไปที่พรรคเพื่อไทย (พท.) แทนที่จะเทมาที่พรรคประชาธิปัตย์
พร้อมกันนี้ยังได้วิพากษ์ถึงอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไรเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของพรรคออกไปในแนวทางที่ดูว่าสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มากเกินไป
เนื่องจากรัฐบาล คสช. เข้ามาโดยอำนาจพิเศษ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่เคยร่วมเคลื่อนไหวชุมนุม เป่านกหวีดร่วมกับ กปปส. ที่ต้องยอมรับว่า มีมวลชนบางกลุ่มยังสนับสนุน “บิ๊กตู่” อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
งานนี้ “เทพไท” ถึงกับหลุดข้อความมาว่า “ปชป. บางคนทำตัวเป็นขี้ข้าประยุทธ์”
เมื่อข้อความดังกล่าวหลุดออกมาสู่สังคม งานนี้ทำเอาบรรดาแกนนำ กปปส. ถึงกับอยู่ไม่สุข
บางคนถึงกับของขึ้นลามไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่มีต่อนายเทพไทด้วย
โดยเฉพาะกับอดีต ส.ส. กลุ่ม กปปส. ที่อยู่ในพื้นที่นครศรีธรรมราชด้วยกัน
ถึงกับมีข่าวแว่วมาว่า เคยมีประชาชนมาร้องเรียนปัญหากับ ส.ส. ท่านหนึ่งในนครศรีธรรมราช แต่อยู่คนละเขตจึงรับผิดชอบช่วยประชาชนแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้ และเมื่อ ส.ส. คนดังกล่าวไปพูดคุยกับนายเทพไทอย่างตรงไปตรงมาว่า เหตุใดจึงไม่แก้ไขปัญหาดังกล่าว งานนี้จึงทำเอานายเทพไทหัวเสียที่ถูกเพื่อน ส.ส. ด้วยกันมาสอนมวย
ทั้งนี้ จากปรากฏการณ์ไลน์ร้อน ส่งผลให้ระดับแกนนำของ กปปส. ทั้ง 8 คน ส่งสัญญาณไม่พอใจอย่างยิ่ง
กระทั่งในวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา อดีตแกนนำ กปปส. ทั้ง 8 คน จึงได้แท็กทีมตบเท้าเข้าพบ “หัวหน้ามาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อปรับความเข้าใจในกรณีดังกล่าว
รวมทั้งประสานรอยร้าวก่อนหน้านี้ที่ “พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล” อดีต ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ข่าวว่า กลุ่ม กปปส. กำลังเดินเกมเพื่อทำการยึดพรรค และเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าพรรค
พร้อมทั้งทวงคืนเก้าอี้เลขาธิการพรรค ซึ่งคนปัจจุบัน “เสี่ยไก่” นายจุติ ไกรฤกษ์ นั่งกุมบังเหียนอยู่
รวมไปถึงการที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เบอร์หนึ่งของ กปปส. ที่ออกมาสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป แม้จะมีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม
โดยการสนทนาระหว่างกลุ่ม กปปส. ในช่วงเช้าวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ร้านกาแฟของพรรคประชาธิปัตย์ บรรยากาศเป็นไปด้วยความเป็นกันเอง
แต่เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งว่า นายเทพไท ผู้ที่เป็นตัวก่อประเด็นร้าวนี้ มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มประหนึ่งใจดีสู้เสือ มิหน้ำซ้ำยังออกหน้าทำหน้าที่เสิร์ฟกาแฟให้กับแกนนำ กปปส. ทุกคนอีกด้วย
ก่อนจะขึ้นไปเคลียร์ใจกันอย่างลับๆ ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารควง อภัยวงศ์ โดยไม่ให้สื่อมวลชนเข้าฟังและบันทึกภาพแต่อย่างใด
การหารือในวันดังกล่าวระหว่างนายอภิสิทธิ์และแกนนำ กปปส. ในเวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายหลังการหารือ แกนนำ กปปส. ได้ออกจากห้องประชุมมาก่อนนายอภิสิทธิ์ ด้วยสีหน้าที่เห็นได้ชัดถึงความไม่โอเคอะไรในบางอย่าง
แม้ว่าในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่อหน้ากล้องจะพยายามสร้างสถานการณ์ให้เหมือนการพูดคุยในห้องประชุมเป็นปกติที่สุดก็ตาม ทั้ง นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปตย์ และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต ส.ส.กทม.
อย่างไรก็ตาม นายถาวรระบุว่า ท่าทีของแกนนำ กปปส. ต่อกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีก 5 ปีนั้น เป็นความคิดของแต่ละคนที่อาจจะต่างกันได้
ส่วนตัวนั้นจะสนับสนุนด้วยหรือไม่ ขออย่าเพิ่งอ่านใจกัน เพราะเป็นเรื่องของอนาคต
ส่วนแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากเลือกตั้งเสร็จ ถ้าหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ที่สมาชิกพรรค จะไปตัดสินใจล่วงหน้าไม่ได้
ขณะเดียวกันอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ คือสนับสนุนการเลือกตั้ง รวมถึงการหาเสียงชูนโยบาย สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีแนวทางไหนของ กปปส. ที่ขัดกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะเรื่องการเสนอตัวบุคคลเป็นนายกฯ และขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะนำแนวคิดของนายสุเทพกลับมาผลักดันในพรรค ตอนนี้คำตอบที่ชัดเจนของเรา คือการสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ
ขณะที่ “เอกนัฏ” ยืนยันอีกหนึ่งเสียงว่า การเดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็นการเจรจาต่อรองว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรค แต่มาปรับความเข้าใจกัน จากนี้ไปก็จะร่วมมือปฏิรูปประเทศด้วยกัน
เพราะฉะนั้น เรื่องการกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ จะไม่เอามาใส่ใจ
ก่อนหน้านี้ใครพูดอะไรไม่ดีก็ขออโหสิกันไป
หากพรรคมีมติเลือกให้นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค เราก็ต้องยอมรับมติพรรค
แต่มติจะออกมาว่าเลือกนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องของอนาคต
ส่วน “หัวหน้ามาร์ค” ย้ำจุดยืนว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องปฏิบัติตามมติพรรค
ส่วนแนวคิดของนายสุเทพ ที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีก 5 ปีนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้คุยกับแกนนำ กปปส. ทั้ง 8 คน ที่ยังเป็นสมาชิกพรรคว่า ความเห็นของนายสุเทพซึ่งอยู่ในส่วนการเมืองภาคประชาชน ไม่ใช่ในระบบพรรคการเมือง
และหลังจากนี้หากนายสุเทพมีความเห็นที่ไม่ตรงกับพรรค คนกลุ่มนี้คือ กปปส. ทั้ง 8 คนก็ต้องยึดถือแนวทางของพรรคเท่านั้น
ไม่ควรมีความเห็นที่สวนทางกับแนวทางของพรรค เพราะพรรคต้องมีเอกภาพและมีจุดยืนที่ชัดเจนกับประชาชน
ทันทีที่วงสนทนาเคลียร์ใจกันระหว่างแกนนำพรรคกับอดีตแกนนำ กปปส. จบลง ที่เรียกว่าเกือบจะเรียบร้อยแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่ในช่วงเย็นย่ำวันเดียวกันนั้น กำนันสุเทพก็ได้ออกมาเผยแพร่ภาพไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ พร้อมกับยืนยันว่า ส่วนตัวยังคงสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปแม้จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ก็ตาม
ส่วนสมาชิก กปปส. ทั้ง 8 คน คือ นักการเมืองก็ต้องกลับไปทำหน้าที่เพื่อประชาชนต่อไป ส่วนตัวขอประกาศตัวเป็นอิสระไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่แทรกแซงการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป
ทว่า ตามนัยยะความเป็นจริงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่อดีตแกนนำ กปปส. ทั้ง 8 คน ซึ่งร่วมหัวจมท้ายเป่านกหวีดกับกำนันสุเทพ จะมีแนวทางที่เป็นเอกภาพกับนายอภิสิทธิ์ได้จริงหรือไม่
ถามว่า นายสุเทพผู้เคยสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเหตุการณ์ปี 2552-2553 นั้น จะไม่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ อีกคำรบแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ อาจเป็นเพราะคำที่ว่า “ใครจะว่าผมเชียร์ทหาร ผมก็ไม่สน” อย่างที่นายสุเทพได้พูดไว้
แต่สุดท้ายสาเหตุใดที่ทำให้นายสุเทพหันไปเชียร์ทหารมากกว่าที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองที่ตัวเองอยู่มานานกว่า 40 ปี
เรื่องนี้จึงเป็นเกมที่ต้องติดตามกันต่อว่ารอยร้าวระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับ กปปส. ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ก่อกำเนิดมาจากพรรคสีฟ้าเหมือนกัน จะจบลงอย่างไร
เพราะทันทีเมื่อกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งประกาศใช้ และเมื่อพรรคการเมืองสามารถประชุมพรรคได้ ก็พร้อมที่จะเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทันที
เมื่อนั้นก็จะได้เห็นหน้าค่าตากันเองว่า ใครจะมาวินในพรรคประชาธิปัตย์