ส่องความเปลี่ยนแปลงปี 2563-64 ในมุมมอง “สุกัญญา มิเกล” และคำอวยพรถึง “ประยุทธ์”

“สุกัญญา มิเกล” ร็อกเกอร์หญิง เจ้าของเสียงทรงพลังในยุค 90 คือหนึ่งในคนบันเทิงที่มีบทบาทกับขั้วการเมืองอันหลากหลาย ทั้งม็อบพันธมิตรฯ (เสื้อเหลือง), ม็อบ กปปส. (นกหวีด) ก่อนเลือกเดินร่วมทางกับม็อบคณะราษฎร 2563 โดยเปิดตัวด้วยการลงชื่อสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์

“มิเกล” เล่าว่า การเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองส่งผลต่อชีวิตของเธอมานานนับ 10 ปีแล้ว เนื่องจากวิธีคิดของคนในสังคม (ในอดีต) ยังคงผิดเพี้ยน หากใครพูดเรื่องการเมืองจะไม่ได้รับคุณค่า แถมถูกด้อยค่ากลายเป็นขี้ไปเลย

ทั้งที่ในความเป็นจริง คนวงการบันเทิงก็เป็นพลเมืองของประเทศนี้ จ่ายภาษีในการช่วยดูแลสังคม แต่ได้รับสวัสดิการจากรัฐน้อยมาก พวกเขาควรจะมีสิทธิมากกว่าการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ผ่านการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และคนในสังคมก็ควรรับฟัง แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ไม่ควรแสดงความเกลียดชังกัน

แต่ปัจจุบันแนวคิดในสังคมเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว การแข่งขันในวงการบันเทิงก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

“มิเกล” เล่าว่า สมัยก่อนวงการบันเทิงมักจะแข่งขันกันด้วยการสร้างภาพให้ดาราแต่ละรายดูไฮโซ มีนามสกุลดัง หน้าตาต้องสวยงาม ใช้สินค้าแบรนด์เนม ติดตราสัญลักษณ์ว่าฉันคือบุคคลพิเศษ แม้จะแสดงห่วยแตกก็ตาม

ทว่าค่านิยมความดัดจริตเหล่านั้นกำลังจะหายไป เพราะคนรุ่นใหม่เสพสิ่งที่เป็นจริง เสพความเป็นตัวตนข้างใน แม้ว่าคุณจะไม่สวยตามพิมพ์นิยม หรือมีรูปร่างแบบไหน แต่คุณก็โด่งดังและเป็นที่ชื่นชอบได้ หากผลงานมีคุณภาพ

ด้านนายทุนบางคนก็เริ่มให้โอกาสกับศิลปินหรือคนบันเทิงที่ออกมาพูดเรื่องการเมือง โดยไม่สนใจว่าคนในสังคมจะมองว่าเขาผิดหรือถูก แต่มองที่ผลงานหรือสินค้าของเขามากกว่า

ยกตัวอย่าง รายการที่เกี่ยวกับการเมืองในอดีตจะได้รับความสนใจจากคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ในปัจจุบันรายการการเมืองกลับได้รับความสนใจมาก โดยเฉพาะรายการดีเบตที่มีการโต้เถียงกันเรื่องความคิด กลายเป็นสิ่งที่คนในสังคมอยากดู

“บางคนอาจจะดูด้วยความมัน ว่าเมื่อไรฝ่ายไหนจะน็อก บางคนอาจจะดูเพราะว่าได้ข้อมูลความรู้ แล้วแต่ว่ามุมมองของใครจะใช้ประโยชน์อะไร แต่มันได้ประโยชน์เต็มร้อยจากการโต้แย้งจากการโต้เถียงกัน ดังนั้น ปีที่ผ่านมาเรามองว่าสังคมเปลี่ยนไปมากเกี่ยวกับเรื่องของการเมือง”

ร็อกเกอร์หญิงยังแสดงความคิดเห็นต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตลอดปี 2563 ว่า ปีที่ผ่านมาเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาชนเปลี่ยนไปเยอะมาก ประชาชนมีความเข้าใจเรื่องสิทธิและบทบาทหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น และยังเข้าใจบทบาทหน้าที่ของอาชีพต่างๆ เช่น นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติ ทหาร ตำรวจ เป็นต้น

ส่วนปัญหาด้านการเมือง ศิลปินมาดมั่นเห็นว่ายังเป็นปัญหาเดิมๆ ที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย โดยต้นเหตุมาจากคนที่มีอำนาจ เช่น คนมีอำนาจไม่ยอมทำความเข้าใจว่าการใช้อำนาจของตัวเองมันยึดโยงอยู่กับชีวิตทุกคนในประเทศนี้ และมันส่งผลต่อการพัฒนาชีวิตของผู้คนด้วย

แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะเกิดการอารยะขัดขืนของผู้คน เนื่องจากข้อมูลมันถูกเปิดแล้ว ประชาชนรู้แล้วว่าเรามีสิทธิอะไรบ้าง กฎหมายข้อไหนที่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อพวกเรา

ในมุมมองของ “สุกัญญา มิเกล” เธอเห็นว่าปี 2564 นี้สังคมจะเปลี่ยนแปลงไปในเรื่องของค่านิยม เนื่องจากปี 2563 เด็กๆ หรือคนรุ่นใหม่ได้ปล่อยพลุออกมาแล้วว่าตอนนี้สังคมเปลี่ยนแล้วนะ คุณต้องเปลี่ยนแล้วนะ คุณต้องคิดใหม่แล้วนะ

“ปี 2563 เราเห็นพลุอยู่ไกลๆ ว่าเขาพูดกันเรื่องนี้ด้วยเหรอ เขาส่องไฟกันเรื่องนี้ด้วยเหรอ ปีต่อไป เรื่องเหล่านี้มันจะเริ่มน่าสนใจ เฮ้ย…เรื่องนี้แจ๋วว่ะ”

“มิเกล” จึงเห็นว่า นับจากนี้ ถ้าใครยังคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม อย่าเรียกว่า “ไดโนเสาร์” ขอเรียกว่า “ตะไคร่น้ำ” เลยดีกว่า

“มึงจะไร้แสงมาก มึงลึกมาก ไม่งอกเลย เหมือนจะกลายเป็นที่ที่เขาอยู่ เป็นโลกที่มันเล็กลงทุกที และกลายเป็นบุคคลที่คนรุ่นใหม่ไม่เอา คนรุ่นใหม่จะแบบถุยใส่ ยิ่งเผยความคิดแบบเก่าคร่ำครึ จะยิ่งโดนเขี่ยออกจากสังคม”

แม้ร็อกเกอร์ยุค 90 จะออกตัวว่าตนเองไม่ได้มีความรู้ทางการเมืองมากนัก แต่เธอเห็นว่าการเมืองไทยตอนนี้ควรจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เช่น คนที่ทำงานผิดพลาด ก็ควรจะออกจากตำแหน่งไปก่อน หาคนที่ทำงานได้ดีเข้ามาทำงานแทน

ยกตัวอย่างการบริหารงานของ “บริษัทเอกชน” หากบริษัทใดมีสิ่งที่ผิดปกติหรือเกิดรูรั่ว มีคนคดโกง ก็จะต้องหาตัวคนผิดให้ได้แล้วไล่ออกไป หากมีคนตอแหลก็จับคนตอแหลให้ได้แล้วให้ออกไปด้วย

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องทำให้คนเห็นคุณค่าของการจับผิด และควรเลิกค่านิยมทางความคิดที่ชอบกลบปัญหาเอาไว้ ขณะเดียวกันการอารยะขัดขืนจะเป็นหนทางที่ทำให้ประเทศนี้เจริญ

“หนูจะคิดทำไมเรื่องไม่ดี ประเทศไทยเราดีที่สุดอยู่แล้ว ความคิดนี้มันใช้ไม่ได้ มันทำให้เรากลบปัญหา มันทำให้เรามองไม่เห็นปัญหา มันทำให้เรามองเห็นกางเกงในที่อยู่กลางบ้านแล้วเมินเฉยกับมัน

“แต่ถ้าเราเห็นว่านี่มันคือกางเกงใน มันไม่ควรอยู่ตรงนี้ ก็ต้องเอากางเกงในไปเก็บ แต่ไม่ใช่แบบว่าอยู่กันไป กางเกงในเปื้อนขี้ด้วยอยู่ตรงนี้ ก็ไม่เป็นไร บ้านเรายังสวยอยู่”

ส่วนวิธีแก้ปัญหาการเมืองไทย “มิเกล” แสดงความคิดเห็นว่า ควรเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงคน โดยให้โอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ต่อเมื่อคนรุ่นเก่าทำความเข้าใจ ปรับตัวให้ยอมรับกับสิ่งใหม่

สุดท้ายนี้ เนื่องในโอกาสปีใหม่ “สุกัญญา มิเกล” ได้กล่าวอวยพร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า

“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูแลท่านให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ติดโควิด ให้ท่านมีความสุขใจ ไม่ต้องโดนด่าแบบนี้ ให้ท่านได้รับความรักจากประชาชนคนทั่วไปเสมอๆ และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ท่านลาออก”