การระบาดอีกครั้ง ของ ‘ไวรัสโคโรนา’ (Covid-19) ยืดอายุรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ /จัตวา กลิ่นสุนทร

หน้าพระลาน

จัตวา กลิ่นสุนทร

 

การระบาดอีกครั้ง ของ ‘ไวรัสโคโรนา’ (Covid-19)

ยืดอายุรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

 

คนที่ไม่ศรัทธาชื่นชมนิยมการบริหารงานของรัฐบาล (ผสม) ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าย่อมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง

คนที่ต้องการเห็นประเทศนี้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยยิ่งต้องเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเร็วเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้กุมอำนาจขณะนี้ท่านเริ่มต้นสู่การเมืองจากการยึดอำนาจ ก็คงหนีไม่พ้นการบริหารแบบเผด็จการ

มิได้โกรธเคืองชิงชังอะไรกับใครเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะหัวหน้ารัฐบาล เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายในการบริหารประเทศ

ไม่ค่อยจะเชื่อถือสติปัญญาความสามารถของคณะผู้ร่วมงาน

เอือมระอาสมุนที่ห้อมล้อมทั้ง ส.ส.สอบตก และ ส.ส.ไร้สาระพวกเกาะเกี่ยวห้อยโหนอยากมีอำนาจต้องการแสวงหาเศษเนื้อ ผลประโยชน์

และไม่พอใจเส้นทางการเข้าสู่อำนาจมาตั้งแต่แรก

ไม่เห็นด้วยกับกติกาในทางการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และการสมรู้ร่วมคิดทำลายพรรคการเมืองตรงกันข้ามอย่างไม่เป็นธรรม

ไม่ฟังเสียงเรียกร้องของผู้คนที่เห็นแตกต่าง

และไม่เคยยอมรับความผิดพลาดในการบริหารงานบ้านเมือง

ชอบโยนความผิดให้ผู้อื่นโดยเฉพาะประชาชน และได้แต่ขอร้องประชาชนให้ช่วยๆ กันเสมอๆ

สิ่งที่กำลังสร้างความทุกข์ยากเจ็บปวดจนถึงหมดสิ้นอาชีพ เปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนสภาพสังคมทั้งโลกทุกวันนี้ คือการอุบัติขึ้นของไวรัสโคโรนา (Covid-19) ซึ่งไม่มีชนชาติใดหลีกหลบได้ เพียงแต่จะหาทางดำเนินการป้องกันปัดเป่าได้มากน้อยเท่าที่สติปัญญาของผู้บริหารประเทศนั้นๆ เท่านั้น

การระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2562 ต่อปี พ.ศ.2563 ตลอดปี จนถึงปี พ.ศ.2564 และเราได้ชื่อว่าสามารถหาทางดำเนินการแก้ไขได้ค่อนข้างดีในระดับต้นๆ ของประเทศที่มีการระบาดจนได้รับการชื่นชม

แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเป็นความร่วมมือของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ พร้อมกับการทำงานอย่างแข็งขันของแพทย์ พยาบาล บุคลากร เจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุข และ “อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน” (อสม.) ทั่วประเทศ

ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องพบกับความตกต่ำหนักเข้าไปอีก จากปกติที่ค่อนข้างถดถอยจนลำบากกันอยู่แล้ว

กระทั่งผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยถึงขนาดใหญ่ๆ มีอันต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เกิดการล้มละลายเป็นจำนวนมาก

ไม่มีทางที่รัฐบาลจะช่วยเหลือเยียวยาได้ทั่วถึงเพียงพอ

ประเทศไทยต้องดำเนินการกู้เงินมาเยียวยาประประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

และอย่างที่เห็นที่ทราบว่ายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร ไวรัสโคโรนาได้กลับมาอีกรอบดังที่ปรากฏ

ซึ่งคราวนี้ต่างลงความเห็นกันว่ามันควรจะเป็นความบกพร่องของรัฐบาลโดยแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายความมั่นคงดังที่ได้กล่าว ได้ตำหนิติเตียนกันไปแล้ว

คนทั้งประเทศได้รู้เห็นว่าการระบาดครั้งใหม่รอบนี้ของโควิด-19 เกิดจากความบกพร่องของใคร เพราะประชาขนมิได้การ์ดตก ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอทั้งหลาย

แต่การระบาดมาจากกลุ่มแรงงานข้ามชาติจากเพื่อนบ้าน คนไทยที่แห่กันข้ามไปพามันมาจากเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งการมั่วสุมกันในบ่อนการพนัน

ทั้งหมดนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของทหาร 3 คน พล.อ.ประยุทธ์+พล.อ.ประวิตร+พล.อ.อนุพงษ์ ที่มีอำนาจอยู่เต็ม ซึ่งบอกตามตรงว่าวิสัยทัศน์ไม่กว้างไกล ทำงานแบบข้าราชการประจำ ทั้งๆ ที่บริหารประเทศกันมา 6-7 ปีแล้ว

แต่แทนที่ท่านเหล่านี้จะแอ่นอกรับความผิดพลาดอย่างชายชาติทหาร ท่านกลับพูดจาหลบไปหลบมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

ในที่สุดก็โยนให้ประชาชนช่วยกัน และในบางมุมท่านกลับมีอาการหงุดหงิด แต่กลับยอมรับว่าบางเรื่องต่อให้มีสัก 100 นายกฯ ก็แก้ไม่ได้ แต่ถ้าให้ประชาชนเลือกเองแทนวุฒิสมาชิก 250 คนที่จิ้มเอามาเลือกตนเองอาจได้คนดีคนเก่งๆ มีฝีมือมาบริหารประเทศ แก้ปัญหาได้ดีกว่านี้

รอบนี้ประชาชนเจ็บจริงๆ เจ็บซ้ำซาก เหลียวมองการเยียวยาก็ดูจะยากยิ่ง ทุกข์ยากหมดตัว กิจการล้มระเนระนาด ทำท่าว่าจะเริ่มต้นกอบกู้ธุรกิจเพื่อดำรงชีวิตที่พังลงเมื่อครั้งก่อนกลับต้องมาเจอการระบาดหนักกว่าเดิมอีกครั้ง ความหวังของประชาชนประเทศนี้จึงต้องรอการช่วยเหลือจากรัฐบาล ยกเว้นผู้ที่มีฐานะแข็งแรงเท่านั้นจึงจะอยู่รอด แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลมากไปด้วยลีลาหลบเลี่ยงการจ่ายเยียวยาโดยไม่ยอมประกาศปิดเมือง แต่ที่เห็นอยู่มันคือการปิดเมือง (Lockdown)

รัฐบาลออกอาการเหมือนจำใจต้องจ่ายให้ประชาชน ผู้ประกอบการทั้งหลาย แต่ยังยึกยักล่าช้า และจ่ายเพียงน้อยนิดแบบขี้เหนียว ทั้งๆ ที่บอกว่ารัฐบาลมีเงิน

ต้องกราบเรียนว่าเงินทั้งหมดที่ท่านจะนำมาจ่ายต่อชีวิตให้ประชาชนมันไม่ใช้เงินของพวกท่าน ท่านเป็นเพียงผู้รับใช้ประชาชน

ความหวังอีกอย่างหนึ่งอยู่ที่การบริหารจัดการเพื่อสั่งซื้อวัคซีน (Vaccine) มาเร่งฉีดให้กับประชาชน แต่ถึงเวลานี้ได้กลายเป็นว่าประเทศของเราล่าช้ามาก ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเขาลงมือฉีดวัคซีนกันแล้ว รวมทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา แต่ของเรายังถกเถียงกันอยู่ และยังเกิดเรื่องขมุกขมัวไม่ชัดเจนโปร่งใสเกี่ยวกับบริษัทที่จะดำเนินการผลิตวัคซีนขึ้นด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกอาการเกรี้ยวกราดประกาศจะฟ้องร้องคนที่เปิดเผยเรื่องวัคซีน

ในขณะที่รองนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้สัมภาษณ์กระหน่ำแรงๆ กับ (อดีต) หัวหน้าพรรคการเมืองที่ถูกยุบไปกระทั่งโยงไปถึงเรื่องสถาบัน และเรื่องการเข้าสู่อำนาจบริหารเหมือนเป็นการเกทับที่พรรคของเขาได้เข้าร่วมรัฐบาล

ทั้งๆ การเลือกตั้งปี พ.ศ.2562 พรรคภูมิใจไทยได้รับเลือกเข้ามาน้อยกว่าพรรคที่ท่านไปถากถางเขาด้วยซ้ำ

คนข้างเวทีอย่างเราๆ ต้องการเห็นการตอบคำถามที่นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากกลุ่มก้าวหน้าตั้งคำถามคล้ายการกล่าวหาเรื่องการจัดหาวัคซีนว่าความจริงมันเป็นอย่างไร รัฐบาลดำเนินการอย่างไร? ทำไมมันถึงได้ล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆ

ไม่ได้ต้องการได้ยินวาทะ และอารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมทั้งถือว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลใช้ถ้อยคำสาดใส่

เพราะถึงอย่างไรความจริงมันต้องปรากฏ ปิดบังอะไรไม่ได้หรอกครับ

ถ้าหากไม่มีการระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโคโรนา (Covid-19) จนกระทั่งรัฐบาลประกาศ “พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน” (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2563 และต่ออายุเรื่อยมาจนกระทั่งถึง พ.ศ.2564 รวมทั้งพระราชบัญญัติโรคติดต่อด้วย

เชื่อเหลือเกินว่า กลุ่มต่างๆ รวมทั้งประชาชนทุกข์ยากต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก ให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ขณะนี้กำลังจะมีการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ-วาระที่ 2) และการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่มีใครเชื่อว่ารัฐบาลมีความจริงใจจะทำตามคำเรียกร้อง

แต่ทั้งที่มีกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้อยู่ยังไม่วายมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น กลุ่มการ์ดวีโว่ (Wevo) ออกมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น นำเอาธงสีแดงเขียนข้อความมาตรา 112 ไปชักขึ้นสู่ยอดเสาที่หน้า สภ.คลองหลวง ปทุมธานี กลุ่มการ์ดปลดแอกซึ่งแต่งชุดดำพร้อมประชาชนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันจัดกิจกรรมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผลักดันให้เลิก กฎหมายมาตรา 112 นำผืนผ้ายาว 112 เมตรไปให้ประชาชนเขียนข้อความ กระทั่งถูกตำรวจจำนวนหลายกองร้อยบุกจับกุม ก่อนที่เหตุการณ์จะลากเลื้อยยาวมายังศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ วุ่นวายอยู่พักใหญ่ ติดตามมาด้วยเสียงระเบิด

ขณะนี้ถ้าไม่มีกฎหมายควบคุมการระบาดของโรค ซึ่งช่วยคุ้มกันรัฐบาลเอาไว้ด้วย ย่อมต้องเผชิญกับม็อบไม่เว้นวันแน่ๆ นักวิเคราะห์การเมืองทั้งหลายมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ความวุ่นวายทางการเมืองระลอกใหม่จะร้อนแรงมากกว่าที่ผ่านๆ มา

และมันจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนที่ 2 ของปี พ.ศ.2564–

พรรคร่วมฝ่ายค้านกำหนดจะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในเดือนมกราคม พ.ศ.2564 เป็นรายบุคคล เชื่อขนมกินได้ว่าคนแรกที่ต้องโดนทุกเม็ดคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา + พี่น้อง 2 ทหารสูงวัยไม่น่าจะหนีออก รวมทั้งคงไม่พ้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีสาธารณสุข ดาราปากกล้า ปากไวเวลานี้

เชื่อว่าถึงจะมีเสียงข้างน้อยไม่พอเพียงที่จะทำให้รัฐบาลต้องล้มครืน

แต่เชื่อว่าข้อมูลลึกๆ ที่รัฐบาลบริหารผิดพลาดหมกเม็ดอยู่มากหากค้นดึงออกมาให้ประชาชนได้เห็นจนเกิดความเชื่อถืออาจจะทำให้รัฐบาลสั่นสะเทือนได้

ฝ่ายค้านควรทำการบ้านอย่างหนัก เจาะลึกเรื่องข้อมูลต่างๆ ทั้งเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนา (Covid-19) การจัดซื้อวัคซีน (Vaccine) มาฉีดให้กับคนไทยด้วย

คนเบื่อรัฐบาลจำนวนมากรอลุ้นกันอยู่