มองเมกะโปรเจ็กต์วัคซีนโควิด-19 งานถนัดของอินเดีย / บทความต่างประเทศ

A healthcare worker reacts as he receives an AstraZeneca's COVISHIELD vaccine, during the coronavirus disease (COVID-19) vaccination campaign, at a medical centre in Mumbai, India, January 16, 2021. REUTERS/Francis Mascarenhas

บทความต่างประเทศ

มองเมกะโปรเจ็กต์วัคซีนโควิด-19
งานถนัดของอินเดีย

อินเดียเริ่มต้นโครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่นับว่าเป็นการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา
โดยทางการอินเดียจะใช้ “ความเชี่ยวชาญ” ที่หน่วยงานราชการมีจากการจัดการเลือกตั้ง มาปรับใช้กับกระบวนการฉีดวัคซีนให้ประชาชนหลายร้อยล้านคนทั่วประเทศ
ในโครงการดังกล่าวอินเดียจะใช้วัคซีน 2 ชนิดที่ผ่านการอนุมัติให้ใช้ได้เป็นการฉุกเฉินแล้วนั่นก็คือ “โควีซีลด์” วัคซีนของบริษัท “แอสตร้าเซเนก้า-มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด” จากประเทศอังกฤษ ผลิตโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย โรงงานผลิตวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
และอีกชนิดก็คือ “โคแวกซีน” วัคซีนที่อินเดียพัฒนาขึ้นเองโดยบริษัท “ภารัต ไบโอเทค” บริษัทในท้องถิ่น
ที่แม้จะยังไม่ผ่านการทดลองในระยะที่ 3 รัฐบาลก็ตัดสินใจอนุมัติให้ฉีดให้กับประชาชนได้แล้ว
การฉีดวัคซีนในครั้งนี้จะแบ่งเป็น 2 เฟสด้วยกัน
“เฟสแรก” จะเป็นการฉีดให้กับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เช่น กลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแนวหน้า กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มคนป่วยที่มีอาการหนัก โดยเฟสแรกนี้จะฉีดให้ประชาชนราว 30 ล้านคน
กระทรวงสาธารณสุขอินเดียเปิดเผยว่า โครงการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ในครั้งนี้จะต้องใช้บุคลากรที่มีพรสวรรค์ในการจัดการกระบวนการตั้งแต่การขนส่ง การลงทะเบียน การฉีดวัคซีน การสังเกตการณ์
รวมไปถึงการเก็บรักษาวัคซีนจำนวนหลายล้านคนทั่วประเทศ

กระทรวงสาธารณสุขอินเดียตั้งเป้าที่จะฉีดวัคซีนให้ประชาชนราว 300,000 คนต่อวัน และจะเพิ่มจำนวนการฉีดขึ้นตามจำนวนวัคซีนในสต๊อก และตั้งเป้าที่จะฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคม หรืออีก 9 เดือนข้างหน้า หลังสิ้นสุดโครงการฉีดวัคซีนในเฟสที่ 2
โดยรัฐบาลอินเดียจะมีแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่าโค-วิน (Covid Vaccine Intelligence Network) แอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลดิจิตอลของบุคคลที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว
แม้หลายๆ ประเทศจะประสบกับปัญหาในการวางแผนกระจายวัคซีนให้ประชาชนจำนวนมาก
แต่อินเดียมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ดีกว่าเนื่องจากประสบการณ์ในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจำนวนหลายล้านโดสต่อไป
รวมไปถึงประสบการณ์ในการจัดการเลือกตั้งและนับคะแนน ที่เข้าถึงพื้นที่ห่างไกลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในประเทศที่มีประชากรหลักพันล้านคน
การดำเนินการฉีดวัคซีนในเฟสแรกนั้น อินเดียต้องพึ่งพิงเครือข่ายตู้แช่เย็นสำหรับเก็บรักษาวัคซีนของศูนย์วัคซีนที่มีกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งอินเดียใช้สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับเด็กๆ จำนวนหลายสิบล้านคนต่อปีอยู่แล้ว
โดยทางการอินเดียจะใช้ฐานข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้ามาร่วมพิจารณาว่าใครควรจะได้สิทธิในการฉีดวัคซีนก่อน
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของประเทศอินเดียก็คือ การเป็นผู้ผลิตวัคซีนที่สามารถผลิตได้จำนวนมากที่สุดในโลก
“สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย” เป็นโรงงานผลิตวัคซีนที่ก่อตั้งมานาน 50 ปี สามารถผลิตวัคซีนได้ปริมาณมากถึง 1,398 ล้านโดสต่อปี
ไม่เพียงแต่ผลิตได้เพียงพอกับความต้องการในประเทศเท่านั้น ยังจะสามารถเป็นแหล่งผลิตวัคซีนให้กับอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกด้วย
ปัจจุบัน “สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย” มีวัคซีนอยู่ในสต๊อกแล้วมากกว่า 50 ล้านโดส ที่พร้อมจะกระจายฉีดให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม หลังเริ่มดำเนินโครงการฉีดวัคซีนทั่วประเทศผ่านไปแล้ว 3 วัน มีผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วราว 224,000 คน ยังคงไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ โดยในจำนวนนี้มีผู้ที่เกิดผลข้างเคียงจำนวน 447 ราย ในจำนวนนี้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 3 ราย ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจสอบถึงสาเหตุกันต่อไป
นอกจากโครงการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพแล้ว ความมั่นใจของประชาชนก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญและทำให้การเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ยุติการแพร่ระบาดประสบความสำเร็จได้
โดยผลการสำรวจจากบริษัทอิปซอสการ สำรวจความมั่นใจของประชาชนที่มีกับวัคซีนที่ผ่านการอนุมัติ ใน 15 ประเทศนั้น ปรากฏว่าประชาชนชาวอินเดียมีความพร้อมที่จะฉีดวัคซีนในทันทีคิดเป็นสัดส่วนถึง 88 เปอร์เซ็นต์
มากที่สุดในทุกประเทศที่ทำการสำรวจ รองลงมาเป็นอังกฤษ เยอรมนี สหรัฐ และจีน ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในอินเดียเช่นกันกับการรีบอนุมัติวัคซีน “โคแวกซีน” ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท “ภารัต ไบโอเทค” ของอินเดียเอง ทั้งๆ ที่การทดลองเชิงคลินิกในเฟสที่ 3 ยังไม่เสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขอินเดียยืนยันว่าทางการอินเดียได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอแล้วว่า “โคแวกซีน” นั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ และไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
เวลานี้รัฐบาลอินเดียบูรณาการทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยให้โครงการฉีดวัคซีนเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบที่เคยทำกับการเลือกตั้งทั่วไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารนำกำลังเข้ามาเสริมในการรักษาความปลอดภัยให้กับศูนย์บริการวัคซีนและโกดังเก็บวัคซีนทั่วประเทศ
กระทรวงกีฬาเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมจัดการฝูงชน
กระทรวงปศุสัตว์มีส่วนร่วมในการจัดหาตู้เย็นและตู้แช่สำหรับเก็บรักษาวัคซีน
ขณะที่ครูในโรงเรียนในบางพื้นที่ของกรุงนิวเดลี เข้ามามีส่วนร่วมในการร่วมสังเกตอาการของผู้ได้รับวัคซีนหลังได้รับการฉีดระยะเวลา 30 นาทีด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ระบบไอทีในการติดตามเส้นทางวัคซีนตั้งแต่ออกจากโรงงานผลิต จนไปถึงผู้ได้รับการฉีดในทุกๆ โดส โดยระบบดังกล่าวจะทำให้ประชาชนได้รู้ด้วยว่าใกล้จะถึงคิวในการรับการฉีดแล้วหรือยัง
นอกจากนี้ ยังมีระบบสังเกตการณ์อุณหภูมิในตู้แช่กว่า 100,000 ตู้ ตลอดเส้นทางการขนส่ง
แม้ล่าสุดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศอินเดียจะดีขึ้น อัตราการติดเชื้อลดลงเหลือ 1 ใน 5 ของยอดเมื่อเดือนกันยายนปีก่อน แต่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังคงอยู่ในระดับหมื่นราย
โดยเฉพาะในกรุงนิวเดลีที่มียอดผู้ติดเชื้อมากถึง 8,500 รายต่อวัน นั่นจึงทำให้ทางการอินเดียจำเป็นต้องดำเนินโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่อย่างที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปขึ้นได้
โครงการฉีดวัคซีนของอินเดียครั้งนี้จึงเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยให้อินเดียผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไปได้